- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 March 2019 16:17
- Hits: 1093
บล.กรุงศรี : Money Wizard
Money Wizard
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index -2.69 จุด (-0.16%) ปิดที่ 1,627 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 3 หมื่นล้านบาท นักลงทุนชะลอการลงทุน กังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของ ยูโรโซน, จีน และ สหรัฐออกมาไม่ดี Fund Flow ต่างชาติยังเป็นลบ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 321 ล้านบาท ขายติดต่อกันเป็นวันที่ 11, Net Short TFEX 11,247 สัญญา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 230 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาดดัชนีน่าจะกลับมาฟื้นตัวตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศโดยให้กรอบเป้าหมายที่ระดับ 1,635-1640 จุด จาก 1)ไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากดดันตลาด, 2) เศรษฐกิจชะลอตัวคาดหวังเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย, 3) ลงมติ Brexit วันนี้ ยังพอมีสัญญาณบวก ล่าสุดสหภาพยุโรป (EU) เห็นชอบให้ นางเทเรซาร์เมย์ แก้ไขร่างข้อตกลง Brexit เพื่อให้รัฐสภาผ่านร่างข้อตกลงฉบับใหม่ แต่หากรัฐสภาไม่ผ่านร่างคาดว่าอังกฤษจะขอขยายเวลาการแยกตัวออกไปจากกำหนดเดิม 29 มี.ค.19 และ 4)ราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ส่วนประเด็นคำพูดของรมว.คลัง ถึงการยกเลิกสิทธิลดหย่อนผ่านการลงทุนใน LTF คาดว่าจะไม่มีผลกับตลาดเนื่องจาก อำนาจในการตัดสินจะอยู่ที่รัฐบาลชุดใหม่
กลยุทธ์การลงทุน : Selective Buy เน้น Domestic play
• กลุ่มโรงกลั่น (TOP, PTTGC, SPRC) คาดงบ 1Q19 เป็นบวกจากค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้นและ Stock gain
• กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) ได้ประโยชน์เม็ดเงินที่จะสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
• กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (AOT, MINT, CENTEL, ERW) ครม.ขยายเวลามาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ถึงวันที่ 30 เม.ย.19 และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวขึ้น
หุ้นแนะนำวันนี้ : ERW (ปิด 7.35 ซื้อ/เป้า 8.2) คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1.2 ล้านคน ได้อีกครั้งในเดือน ก.พ. จากแรงส่งของมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ และ เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นบวกต่อรายได้และกำไรของกลุ่มธุรกิจโรงแรมโดยตรง เลือก ERW เป็น Top pick (Pure Hotel), TOP (ปิด 69.5 ซื้อ/เป้า 90) ยังได้ Sentiment บวกอย่างต่อเนื่องจากค่าการกลั่นที่กลับมาฟื้นตัว โดยล่าสุดค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 4.35$/bbl เทียบกับช่วงต้นปีอยู่ที่ระดับ 1.5$/bbl ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้นใน 1Q19 จะทำให้บริษัทพลิกกลับมามีกำไรจาก Stock gain จำนวนมาก
Top picks ปี 1Q19 : BGRIM, CPALL, EA, EPG, JMT และ ROBINS
KSS report วันนี้ : BCP (ปิด 31.75 ซื้อ/เป้า 39), BEM (ปิด 9.95 ซื้อ/เป้า 11.8)
ประเด็นสำคัญวันนี้ :
• (+) ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 200 จุด จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย แอปเปิ้ล ชดเชยการร่วงแรงของหุ้น โบอิ้ง จากข่าวเครื่องบินตก : ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดในวันที่ 11 มี.ค.19 ลดลงแรงกว่า 200 จุด จากแรงขายหุ้นสายการบิน โบอิ้ง หลังมีข่าวเครื่องบินตกและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเอธิโอเปีย อย่างไรก็ตามจากนั้นดัชนีฟื้นตัวขึ้นทันทีจากแรงเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้น แอปเปิล หลังจาก แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ออกมาปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิ้ล สู่ระดับ buy จากเดิม neutral พร้อมกับปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 210 ดอลลาร์ จากเดิม 180 ดอลลาร์ นอกจากนี้ตลาดยังตอบรับเชิงบวกต่อคำกล่าวของเจอโรมพาวเวลที่ระบุว่าเฟดจะยังใช้ความอดทนและความระมัดระวังในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
• (+) ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ ตอบรับข่าวซาอุฯส่งสัญญาณปรับลดอุปทานส่วนเกิน และ ลดการส่งออกน้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบ WTI 72 เซนต์ (1.3%) ปิดที่ 56.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตอบรับข่าวซาอุฯส่งสัญญาณปรับลดอุปทานส่วนเกินในตลาด คือ 1) ซาอุฯจะลดการส่งออกน้ำมันดิบให้ต่ำกว่าระดับ 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 2) จะรักษาระดับการผลิตน้ำมันดิบไม่ให้เกินระดับ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวเวเนซุเอล่าสั่งปิดแหล่งผลิตและโรงกลั่นน้ำมันเนื่องจากประสบปัญหาไฟฟ้าดับทั่วประเทศ
• (+/-) วันนี้ติดตามรัฐสภาอังกฤษลงมติเห็นชอบร่างข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ของเทเรซาร์เมย์ หากไม่ผ่านอังกฤษอาจขอขยายเวลาการแยกตัวจากเดิม 29 มี.ค.19 : ล่าสุดมีกระแสข่าวระบุว่าสหภาพยุโรป (EU) เห็นชอบให้ นางเทเรซาร์เมย์ ทำการแก้ไขร่างข้อตกลง Brexit ใหม่เพื่อปูทางให้รัฐสภาอังกฤษผ่านร่างข้อตกลงให้ได้ในวันนี้ อย่างไรก็ตามตลาดส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าในวันนี้รัฐสภาอังกฤษจะยังลงมติคว่ำร่างข้อตกลงเหมือนเดิม แต่เราไม่ได้วิตกกังวลมากนักเนื่องจากเชื่อว่าท้ายที่สุด อังกฤษ จะขอให้สภาพยุโรปขยายเวลาการแยกตัวออกไปจากกำหนดเดิม 29 มี.ค.19
• (+) ปัจจัยที่ต้องติดตาม - FTSE ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยรอบเดือน มี.ค. และจะมีผลบังคับใช้โดยใช้ราคาปิด ณ สิ้นวันที่ 15 มี.ค.: โดยหุ้นไทยจะถูกเพิ่มน้ำหนักใน FTSE All Word Asia-Pacific จาก 1.83% เป็น 1.87% คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 5 พันล้านบาท โดยรอบนี้มีหุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี Large Cap คือ HMPRO, GULF, EA, MINT, MAKRO, BEM, DIF และหุ้นที่เข้าดัชนี Mid Cap คือ MTC, GPSC ทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้โดยใช้ราคาปิด ณ สิ้นวันที่ 15 มี.ค.
นักวิเคราห์ ปัจจัยพื้นฐาน : อาทิตย์ จัทร์สว่าง Registration No.16475
นักวิเคราะห์ เทคนิค และนักกลยุทธ์ : ชัยยศ จิวางกูร Registration No.15942
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : ยุภาวณี เล้าตระกูชัย ณัฐกานต์ โพธิ์ศรี