- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 13 February 2019 16:07
- Hits: 2496
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET Index 1,642.49
เปลี่ยนแปลง (จุด) 4.49
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 34,886
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท(ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ -804.79
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -508.34
นักลงทุนสถาบันในประเทศ 1,245.07
นักลงทุนรายย่อย 68.05
กลยุทธ์การลงทุน
ปัจจัยการเมืองในประเทศ ยังมีน้ำหนักกดดันตลาด แต่ปัจจัยภายนอกผ่อนคลายช่วงสั้น หลังทรัมป์แสดงความเห็นว่าอาจจะยืดกรอบเวลาการขึ้นภาษีการค้ากับจีนออกไปจาก 1 มี.ค. ตลาดตีความเป็นบวก และแม้จะมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กดดันความต้องการใช้น้ำมัน แต่ OPEC ได้ตัดลดการผลิตตามแผน หนุนราคาน้ำมันยืนเหนือ 60 เหรียญฯ ทำให้ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1635-1650 จุด กลยุทธ์ยังเน้นรายหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเด่น และใกล้ขึ้น XD (MAJOR, QH, LH, KKP, THANI, BBL) Top picks เลือก THANI([email protected]) และ BBL(FV@B227)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index เกิดการรีบาวด์
วานนี้ตลาดหุ้นไทยมีแรงรีบาวด์และเคลื่อนไหวในฝั่งบวกตลอดทั้งวัน โดยแรงหนุนหลักมาจากกลุ่มค้าปลีก ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดกำไรกลุ่มฯปี 2562 เติบโต 10.6%yoy หนุนจากเม็ดเงินสะพัดจากการเลือกตั้งที่ชัดเจน และการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ตามด้วยกลุ่มพลังงาน PTT+0.52% GPSC+2.44% รวมถึงกลุ่มอาหาร (CPF, TU) สวนทางกับหุ้นรายตัว PTTEP -1.62% IVL -2.11% และSCC -0.85% และมูลค่าการซื้อขายที่บางตาเพียง 3.49 หมื่นล้านบาท ทำให้ปิดตลาดที่ 1642.49 จุด เพิ่มขึ้น 4.49 จุด (+0.27%)
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวในกรอบแนวรับ-ต้าน 1635-1650 จุด โดยยังให้น้ำหนักต่อความกังวลจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ แม้จะพรรรคการเมืองส่วนใหญ่สามารถเดินหน้าทำกิจกรรมทางการเมืองได้เต็มที่ แต่บรรยากาศยังดูขมุกขมัว ขณะที่ปัจจัยภายนอกดูผ่อนคลายช่วงสั้น ๆ โดยเฉพาะจากสงครามการค้า โดยแม้คู่จีน-สหรัฐ ที่มีโอกาสยืดเวลาการเจรจาออกไปจากที่กำหนดเดิมสิ้นสุด 1 มี.ค. ที่จะถึง แม้สหรัฐเตรียมขึ้นภาษี Safe Guard กับรถยนต์จากหลายประเทศ ทั้งยุโรป แคนาดาและเม็กซิโก 17 ก.พ. นี้ ซึ่งเป็นเป็นปัจจัยกดดันใหม่
ตลาดหุ้นโลกผ่อนคลาย สหรัฐอาจยืดกรอบการขึ้นภาษีกับจีนออกไปจาก 1 มี.ค. นี้
ความกังวลการหยุดหน่วยงานราชการสหรัฐ (Government Shutdown) ผ่อนคลายลง หลังจากวานนี้ตัวแทนสภาคองเกรสทั้ง 2 ฝ่าย (รีพับลิกันและเดโมแครต) บรรลุข้อตกลงการสร้างรั้วแนวชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกวงเงิน 1.4 พันล้านเหรียญ จากเดิมประธานาธิปดีทรัมป์เสนองบสร้างกำแพง 5.7 พันล้านเหรียญ ขั้นตอนหลังจากนี้คือ ประธานาธิบดีจะต้องพิจารณาอนุมัติหรือไม่ ภายในวันที่ 15 ก.พ. 2562 และหากอนุมัติ จะทำให้มีการผ่านงบประมาณที่ใช้ได้ถึงวันสิ้นปีงบประมาณ 2562 คือ ก.ย. 2562 นับเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐ
ขณะที่สงครามการค้าสหรัฐกับจีน มีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง หลังจากวานนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เผยว่า อาจพิจารณาเลื่อนวันกำหนดการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ เป็น 25% (จากเดิมเก็บ 10%) ที่จะครบกำหนดวันที่ 1 มี.ค. 2562 ออกไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อดูท่าทีจีนอีกระยะหนึ่ง ต่อการผ่อนปรนตามที่สหรัฐเรียกร้องหรือไม่ เช่น เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ปัจจุบันจีนได้กลับมานำเข้าสินค้าหลายอย่าง เช่น ถั่วเหลือง 2.5 ล้านตันจากก่อนหน้าที่หยุดนำเข้าตั้งแต่เดือน มิ.ย.-พ.ย. 2561 ก๊าซธรรมชาติกลับมานำเข้าอีกครั้ง 5.99 ล้านตัน รวมถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากสหรัฐเหลือ 15% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562 จากเดิม 40% เป็นเวลา 90 วัน เป็นต้น หยุดการถ่ายโอนเทคโนโลยี และการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการภาษี (Non-tariff barriers)
โดยรวม ถือว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวกหากทุกอย่างยังเป็นไปตามข้อตกลง ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แม้ว่าวันที่ 17 ก.พ.นี้ ทางสหรัฐจะยังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากสุด เรียงลำดับจากประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐมากไปน้อย คือ เม็กซิโกราว 28.6% ของสหรัฐนำเข้าทั่วโลก รองลงมาคือ แคนาดา ราว 19.1% ยุโรป ราว 19% และญี่ปุ่น ราว 17.6% ส่วนไทยกระทบเล็กน้อย จากส่วนแบ่งตลาดสหรัฐราว 1.04 พันล้านเหรียญ หรือ 0.44% อย่างไรก็ตาม คาดเม็กซิโกและแคนาดากระทบจำกัด เพราะได้มีข้อตกลงการค้าใหม่ภายใต้ USMCA (แทน NAFTA) ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงน่าจะเป็นยุโรป แต่โดยรวมยังเชื่อว่าประเด็นยุโรปน่าจะมีน้ำหนักน้อยกว่าจีน
ราคาน้ำมันยังทรงเหนือ 60 เหรียญฯ..supply ลดสอดคล้อง Demand ลด
ราคาน้ำมันดิบโลกกลับมาฟื้นตัว โดยราคาน้ำมันดูไบสามารถยืนเหนือ 60 เหรียญฯ ได้อย่างมั่นคง ปัจจัยหนุนหลักน่าจะเกิดจากจากตัดลด Supply ยังเป็นไปตามแผน หลังจากวานนี้การรายงานกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศผลิตน้ำมัน OPEC เดือน ม.ค. พบว่าลดลงราว 7.97 แสนบาร์เรล/วัน โดยเป็นการลดลงจาก ซาอุดิอาระเบียผู้ผลิตใหญ่สุดราว 10.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 32.9%ของการผลิตทั้งหมดใน OPEC พบว่า ผลิตลดลง 4 แสนบาร์เรล/วัน) และถือว่ากำลังการผลิตที่ลดลง ใกล้เคียงกับข้อตกลงของผู้ผลิตทั้งกลุ่ม OPEC และ Non OPEC ที่ทำไว้ในเดือนเดือน ธ.ค.2561 ที่ที่ตั้งเป้าจะตัดลดการผลิตจนถึง กลางปี 2562 ลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน (แบ่งเป็น OPEC ต้องลดลง 8 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ Non OPEC ลดลง 4 แสนบาร์เรล/วัน)
การลด supply นับว่ายังสอดรับกับความต้องการใช้น้ำมันโลกที่ชะลอลงจากสงครามการค้า
โดยรวมทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบแกว่งตัวขึ้นได้ ล่าสุดอยู่ที่ 62.1 เหรียญฯต่อบาร์เรล ต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS ที่กำหนดไว้ 65 เหรียญ ในปี 2562 แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวยืนเหนือ 60 เหรียญฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (และกำหนด 70 เหรียญฯ นับจากปี 2563 เป็นต้นไป) ยังแนะนำสะสม PTTEP(FV@B168) และ PTT(FV@B56)
การเมืองกลับมากดดันตลาดช่วงสั้นๆ กับการยุบพรรค ทษช.
ประเด็นการเมืองยังคงกดดันตลาดในระยะสั้น โดยเฉพาะการยุบพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช) ทั้งนี้ที่ประชุม กกต. วานนี้ยังไม่มีข้อสรุป ว่าการกระทำของพรรคไทยรักษาชาติ เข้าข่ายความผิดที่จะนำไปสู่การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคหรือไม่ วันนี้ กกต. จะประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ต่อ ผลสรุปจะแยกเป็น 2 กรณี
1. กกต. มีมติว่าการกระทำไม่เข้าองค์ประกอบความผิดที่จะนำไปสู่การยุบพรรค ก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด พรรค ทษช การสู่การเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ได้ตามเดิม
2. กกต. พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำเข้าองค์ประกอบความผิดที่จะนำไปสู่การยุบพรรค ก็จะส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อยุบพรรคไทยรักษาชาติต่อไป ซึ่งในกรณีนี้ต้องติดตามว่า ผลการวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาก่อนหรือ หลังวันลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 24 มี.ค. 2562 ซึ่งผลกระทบจะแตกต่างกันกล่าวคือ
2.1. กรณี ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาก่อน 24 มี.ค.2562 ไม่มีการยุบพรรคฯ เป็นกรณีแรก การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งของ พรรคไทยรักษาชาติก็จะดำเนินต่อไปตามปกติ แต่หาก เป็นกรณีที่ถูกยุบพรรคฯ ผู้สมัครทั้งหมดของพรรคไทยรักษาชาติ จะถูกตัดสิทธิจากการรับลงคะแนนเลือกตั้งในครั้งนี้
2.2. ผลการวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญออกมาหลัง 24 มี.ค. 2562 ซึ่งก็หมายความว่า พรรคไทยรักษาชาติ มี ส.ส. ที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาอยู่ในสภาฯ จำนวนหนึ่งแล้ว กรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ไม่ต้องยุบพรรคฯ ส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา และพรรคไทยรักษาชาติ ก็ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติ แต่หาก ผลการวินิจฉัยออกมาให้เป็นการ ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ในส่วนของ ส.ส. ที่สังกัดพรรคที่ถูกยุบ สามารถหาพรรคใหม่เพื่อเข้าสังกัดได้ภายใน 60 วัน (รัฐธรรมนูญมาตรา 101 (10)) เว้นแต่ ส.ส. ที่เป็น กรรมการบริหารพรรค ซึ่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 92 บัญญัติให้ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซึ่งจะทำให้สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. ไปด้วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นก็น่าจะทำให้ ส.ส. ของพรรคไทยรักษาชาติ ที่เป็น กรรมการบริหารพรรค หายไป
IRPC รายงานงบตามคาด KCE ต่ำกวาคาดเล็กน้อย
การรายงานผลดำเนินงานงวด 4Q61 ที่ออกมาเพิ่มเติมวานนี้ คือ IRPC ออกมาใกล้เคียงคาด คือ ขาดทุนสุทธิ 1.63 พันล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่เป็นกำไรสุทธิ 2.56 พันล้านบาท กดดันหลักจากการบันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิรวม สูงถึง 4.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติเพิ่มขึ้น qoq แม้ราคาขายปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบโลก แต่รับผลบวกจาก Market GIM ที่เพิ่มขึ้น และการกลับมาผลิตตามปกติของหน่วยผลิต Hyvahal และ RDCC หลังจากหยุดผลิตตามแผนในงวด 3Q61 ที่ผ่านมา
โดยรวมแล้วกำไรสุทธิทั้งปี 2561 เท่ากับ 7.74 พันล้านบาท ลดลง 32%yoy ส่วนแนวโน้มกำไรปกติงวด 1Q62 ฝ่ายวิจัยคาดจะปรับตัวลดลงจากงวด 4Q61 กดดันหลักจากแผนหยุดเดินเครื่องหน่วยกลั่น RDCC เพื่อ tied-in โครงการ Catalyst Cooler ราว 1 เดือน ในช่วงปลายเดือน ก.พ. 2562 เบื้องต้นคาดจะกระทบ GIM ราว 0.2-0.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่น และ spread ปิโตรเคมีมองทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจาก 4Q61 ดังนั้นคาด Market GIM น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ราว 12.5-13 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่ผลการดำเนินงานสุทธิคาดจะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิได้ เพราะคาดจะไม่มีการบันทึกขาดทุนสต๊อกน้ำมันในระดับสูงเช่นใน 4Q61
มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2562 อิง DCF อยู่ที่ 6.7 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นน่าจะสะท้อนแรงกดดันจากผลขาดทุนในงวด 4Q61 ไปพอสมควร ยังคงคำแนะนำซื้อ ทั้งนี้จะประกาศจ่ายปันผล 0.09 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 26 ก.พ. นี้
ตามด้วย KCE กำไรสุทธิงวด 4Q61 ต่ำกว่าคาด 9% อยู่ที่ 380.5 ล้านบาท ลดลง 36%yoy และ 32%qoq จากช่วง low season ของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้รวมปรับลดลงเนื่องจากระบบการทดสอบแบบใหม่ WLTP (มาตรฐานการวัดค่าไอเสียใหม่ของรถยนต์ในยุโรป) ทำให้ลูกค้าชะลอการผลิตรถยนต์ลงชั่วคราว ทั้งยังได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า
โดยรวมปี 2561 กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.01 พันล้านบาท ลดลง 20.8%yoy ขณะที่ปี 2562 คาดกำไรสุทธิกลับมาฟื้นตัวที่ราว 12%yoy จากสถานการณ์ในยุโรปที่เริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ KCE ไปปรับกลยุทธ์เน้นผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร และลงทุนเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น
แม้คาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัว แต่ด้วย Fair Value ที่ 33 บาท ส่งผลให้ Upside ปัจจุบันยังจำกัดอยู่มาก จึงคงคำแนะนำ ขาย
กำไรตลาดหุ้นสหรัฐ 1Q62 มีแนวโน้มหดตัวจากเศรษฐกิจชะลอตัว
จนถึงวานนี้ บริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้น S&P500 รายงานแล้ว331 บริษัท คิดเป็น 77.5% ของ Market Cap ซึ่งปรากฏว่า 71% รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด โดย EPS Growth ใน 4Q61 เฉลี่ย 13.3%yoy (เพิ่มจาก 12.4%yoy เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ 10.6%yoy ในช่วงกลางเดือน ม.ค.) แต่ถือว่าเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ไตรมาสแรกของปี 2561 ที่สูงถึง 25.5% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบสงครามการค้า, การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น
สำหรับแนวโน้ม 1Q62 คาดผลกำไรจะกลับมาหดตัว 1.9% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และ Consensus คาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตลาดหุ้น S&P500 ปี 2562 ราว 167.77 เหรียญ หรือ EPS Growth เพียง 3.3% (ปี 2561 EPS 162.4 เหรียญ) EPS ปี 2562 ที่เติบโตในอัตราชะลอลง เป็นผลมาจากสงครามการค้าที่กระทบเต็มปี และทั้งฐานกำไรปี 2561 ที่สูงจากผลบวกของการลดอัตราภาษีของนิติบุคคล ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะเผชิญกับการแกว่งตัวในช่วงที่เหลือ
ปัจจัยภายนอกผ่อนคลาย หนุนต่างชาติซื้อหุ้นในภูมิภาคต่อ
วานนี้ต่างชาติสลับซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่า 350 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 480 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 18) ส่วนตลาดหุ้นอีก 3 ประเทศถูกขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 70 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 40 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 26 ล้านเหรียญ หรือ 805 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3 มีมูลค่ารวม 3.0 พันล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 1.24 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
แม้ปัจจัยการเมืองในประเทศยังมีอยู่ แต่ปัจจัยภายนอกที่ผ่อนคลายดังกล่าวข้างต้นน่าจะ หนุน Fund Flow ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง ตลาดหุ้นมากขึ้น
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์