- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 February 2019 17:42
- Hits: 4102
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Laggard and Defensive Plays//Accumulated Back on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวพักฐานตามคาดโดยปิดลบ 15 จุดก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาและปิดลบ 13.68 จุด ณ สิ้นวัน เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองที่เริ่มมีมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศขายสุทธิหนาแน่น 1.6 พันลบ.และ 2.3 พันลบ. ตามลำดับ (นักลงทุนต่างชาติ Short ใน Index Futures เกือบ 1.5 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เรายังมอง SET Index อยู่ในช่วงแกว่งตัวพักฐานโดยประเด็นกดดันยังมาจากทั้งปัจจัยในและต่างประเทศ ทั้งเรื่องสงครามการค้าและ Brexit ที่เข้าใกล้เส้นตายในเดือน มี.ค. เข้าไปทุกขณะ ขณะที่วันที่ 15 ก.พ. ต้องดูว่าสหรัฐฯจะเกิด Government Shutdown อีกหรือไม่ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้บรรยากาศการลงทุนในภาพรวมยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน เรามองว่าหุ้นที่ยัง Laggard และมีความ Defensive น่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้นที่ยัง Laggard ตลาดและ Defensive//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานกลับในช่วงตลาดปรับลง
หุ้นเด่นเดือน ก.พ : EA, ERW, GLOBAL, SAPPE, SEAFCO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$343ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าไต้หวัน US$449ล้าน ขณะที่ไหลออกจากไทย US$50ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคติดตามการเจรจาทางการค้าจีนและสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้และวิตกภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐที่อาจเกิดขึ้นอีก
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> KKP <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 76 บาท (ตัดขาดทุน 68 บาท)
- การเติบโตอาจไม่น่าสนใจ เพราะคาดกำไรปี 2019 ชะลอ 2% Y-Y อยู่ที่ 5.9 พันลบ. เนื่องจากฐานปีก่อนสูง แต่เงินปันผลยังจูงใจและมีโอกาสถูกใช้เป็นแหล่งพักเงินในระยะนี้ เราคาดงวด 2H18 ที่ 3 บาท/หุ้น คิดป็นผลตอบแทน 4% จากการถือเพียง 2 เดือน
- ราคาหุ้นยัง Underperform แบงก์ใหญ่และ TISCO อยู่ราว 3% และมักขึ้นสวนกระแสในช่วงที่ Bank Index พักฐาน
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) เงินทุนต่างชาติกลับมาไหลออก วานนี้ต่างชาติขายหุ้นเร่งตัวขึ้นเป็น 1.6 พันลบ. ทำให้ยอดซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปีเหลือเพียง 6 พันลบ. ซึ่งน่าจะมาจากความกังวลด้านการเมืองในประเทศ หุ้นใน SET50 ที่เป็นกลุ่มนำตลาดน่าจะเป็นกลุ่มที่ต่างชาติซื้อมากที่สุด จึงต้องระมัดระวังการพักฐานระยะสั้น โดยถ้าอิงจากยอดซื้อของ NVDR ตั้งแต่ต้นปีรวมทั้งตลาดกว่า 2.5 หมื่นลบ. พบว่าซื้อมากใน CPALL CPF KBANK SCC และ ADVANC (รวมกันราว 1.8 หมื่นลบ.) ซึ่งหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 9% YTD มากกว่า SET Index ที่ขึ้น 5% YTD โดยถ้าอิงปัจจัยพื้นฐานประกอบ ADVANC เหลือ Upside น้อยยสุดและแทบไม่มีความน่าสนใจในแง่การเติบโต ส่วนตัวอื่น เรายังมองการพักตัวรอบนี้เป็นโอกาสซื้อ
(-) AOT รมว. คมนาคม ยังไม่เห็นชอบแผนก่อสร้าง Terminal 2 โดยให้กลับไปขยายตามแผนแม่บทเดิมในทิศตะวันออกและตะวันตกให้เสร็จก่อน ซึ่งแม้จะไม่กระทบราคาเป้าหมายของเราที่ 73 บาท เพราะยังไม่รวมในประมาณการ แต่จะทำให้ตัวเปิด Upside ในระดับที่มีนัยสำคัญนั้นหายไป โดยถ้า Terminal 2 สามารถสร้างได้ตามแบบจะเพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์อีก 15,000 ตร.ม. คิดเป็นครึ่งหนึ่งของ Terminal ปัจจุบัน ซึ่งเมื่อผนวกกับราคาหุ้นที่เต็มมูลค่า เราจึงแนะนำเปลี่ยนไปลงทุนใน BAFS ที่ยัง Laggard AOT อยู่ราว 30% แทน ราคาเป้าหมาย 40 บาท
(+) BEM รายงานสถิติเดือนม.ค. 19 โตดีทั้งธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้า โดยปริมาณรถบนทางด่วน +2.7% Y-Y ที่ 1.24 ล้านเที่ยว/วัน และจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า +6% Y-Y อยู่ที่ 3.16 แสนเที่ยวคน/วัน ส่วนแนวโน้มกำไรปกติ 4Q18 (ประกาศงบวันที่ 27 ก.พ.) เราคาดที่ 828 ลบ. -10% Q-Q, +9% Y-Y และทั้งปี 2018 คาดจบที่ 3.35 พันลบ. +7% Y-Y ยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.70 บาท รวมขยายสัมปทานทางด่วนแล้ว
(0) EPG กำไรสุทธิ 3Q18 (ต.ค.-ธ.ค. 2018) ใกล้เคียงคาด 225 ลบ. -14% Q-Q ตามฤดูกาล แต่ฟื้น 24% Y-Y หากตัด FX gain/loss กำไรปกติ -18% Q-Q, +16% Y-Y เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจ EPP ซึ่งพึ่งพาตลาดในประเทศ แม้ว่าจะชดเชยรายได้จากต่างประเทศ (67% ของรายได้รวม) ซึ่งอยู่ในช่วง low season ไม่ได้ แต่เป็นสัญญาณที่ดีเพราะธุรกิจในประเทศในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างฉุดผลประกอบการ สำหรับกำไรสุทธิ 9M18 (สิ้นสุด ธ.ค. 2018) เติบโตเล็กน้อย 4% Y-Y และคิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีของเรา EPG ผ่านช่วงที่แย่ที่สุดไปแล้ว ผลประกอบการงวดปีถัดไป (เม.ย. 2019-มี.ค. 2020) จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลของการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 12 บาท
(-) GPSC รายงานกำไรสุทธิ 4Q18 ที่ 486 ลบ. (-46% Y-Y, -33% Y-Y) ต่ำกว่าที่ consensus คาด 29% จากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด ในขณะที่รายได้ค่า Ft ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตาม และการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในโรงไฟฟ้าศรีราชารวมถึงโรงไฟฟ้า IRPC-CP ส่วนกำไรปีสุทธิปี 2018 ปรับเพิ่มขึ้น 6% Y-Y เป็น 3,359 ลบ. เนื่องจากรับรู้กำไรจาก IRPC-CP และ ISP1 เต็มปี แนวโน้มกำไรปี 2019 คาดว่าในช่วง 1H19 ยังไม่โดดเด่นเพราะโรงไฟฟ้าศรีราชายังซ่อมไม่เสร็จ แต่ช่วง 2H19 ไปจนตลอดทั้งปี 2020 จะกลับมาน่าสนใจจากแผน COD โรงไฟฟ้าใหม่ราว 375 MW (+24%) เรายังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 68 บาท (DCF, WACC 6.7%) และแนะนำทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
13 ก.พ. - สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.)
14 ก.พ. - จีน: ดุลการค้า (ม.ค.)
14-15 ก.พ. - เจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (เจ้าหน้าที่ระดับสูง)
15 ก.พ. - จีน: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.)
(-) ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวลง หลังเข้าใกล้เส้นตายของ Government Shutdown อีกครั้งในวันที่ 15 ก.พ. นี้
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น หลังค่าเงินที่อ่อนค่าลงส่งผลบวกต่อบริษัทในกลุ่มส่งออก
(+) ภาพรวมตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามค่าเงินที่อ่อนค่า โดยเฉพาะค่าเงินเยน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกของญี่ปุ่น
(0) ค่าเงินบาททรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ลดลง -0.31 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 52.41 ดอลลาร์/บาร์เรล จากดอลลาร์ที่แข็งค่าและการเจรจาระหว่างสหรัฐ-จีนที่ยังไม่มีความคืบหน้า
(-) ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง -6.60 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1311.90 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research