- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 February 2019 16:17
- Hits: 2045
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Laggard and Defensive Plays
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวพักฐานตามคาดโดยช่วงเปิดตลาดปรับตัวลดลงกว่า 15 จุดก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาและปิดลบ 1.43 จุด ณ สิ้นวัน โดยกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดตามราคาน้ำมันดิบ นักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิ 647 ลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศยังซื้อต่อเนื่องอีก 1.8 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index ยังคงอยู่ในช่วงแกว่งตัวพักฐานหลังปรับตัวขึ้นมาพอสมควรตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. ขณะที่ประเด็นต่างประเทศทั้งสงครามการค้าและ Brexit ยังคงต้องจับตาเนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เส้นตายในเดือน มี.ค. มากขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศความเสี่ยงเรื่องการเมืองและการเลือกตั้งเริ่มมีมากขึ้น เราจึงมองว่าระยะนี้หุ้นที่ยัง Laggard และมีความ Defensive น่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด
กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่ยัง Laggard และ Defensive
หุ้นเด่นเดือน ก.พ : EA, ERW, GLOBAL, SAPPE, SEAFCO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$269 ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$239ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$21ล้าน ขณะที่ไหลเข้าฟิลิปปินส์ US$5ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกภูมิภาคหลังการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> SISB <<
- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 8.84 บาท (ตัดขาดทุน 5.20 บาท)
- เป็น Growth Stock ที่น่าจับตา เพราะการลงทุนครั้งใหญ่ผ่านไปหมดแล้ว สามารถรองรับการเติบโตได้ในช่วงระยะ 3-5 ปี เราคาดกำไรปี 2019-2021 โตราว 51% ต่อปี จากการเติบโตของรายได้ และการบริหารต้นุทนการให้บริการศึกษาได้ดีขึ้น และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง
- วันที่ 16 ก.พ. 19 มีจัดงาน Open House 2019 คาดเป็น Sentiment เชิงบวก เพราะมีการเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่เทอมหน้า (FSS เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ SISB)
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) เงินบาทอ่อนค่าเร็วกว่าภูมิภาค สกุลเงินในเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่าเมื่อวันศุกร์ จาก Dollar Index ที่ฟื้นตัวกลับเพราะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนดูจะยืดเยื้อ แต่เงินบาทดูจะอ่อนค่ามากสุด (เกือบ 1% อยู่ที่ 31.50 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแข็งค่าสุดในภูมิภาคมาตั้งแต่ต้นปี อีกส่วนน่าจะมาจากความสับสนในประเด็นการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าความกังวลนี้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่เราคาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าอีกระยะ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนคืออิเล็กทรอนิกส์ (SVI) ยานยนต์ (SAT) และเกษตรอาหาร (CPF TU) ส่วนหุ้นที่ได้รับผลลบคือ โรงไฟฟ้า (GULF BGRIM) ผู้นำเข้าสินค้ามาขายในประเทศ (SYNEX FTE)
(+) PTTEP โทนจากการประชุมนักวิเคราะห์เป็นบวก จากแผนการทยอยตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายภายในปีนี้ ทั้งแหล่งโมซัมบิค เวียดนามและแอลจีเรีย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตในส่วนของสผ.ได้อีกราว 40,000 boepd ในช่วงปี 2023 และยังช่วยเพิ่มปริมาณสำรอง/การผลิตได้อีกราว 1.5 ปี ยังไม่รวมปริมาณสำรองของบงกช-เอราวัณ ที่พึ่งประมูลได้อีกราว 4 ปี ทำให้ปริมาณสำรอง/การผลิต สิ้นสุดปลายปี 2019 คาดว่าจะอยู่ที่ 10 ปี ส่วนการรุกธุรกิจ gas to power ในพม่า ยังเป็น upside ให้กับกำไรและมูลค่าหุ้นในอนาคต เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 150 บาท ปันผลงวด 2H18 อยู่ที่ 3.25 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 2.6% ขึ้น XD วันที่ 12 ก.พ.นี้
(-) IRPC คาดขาดทุนสุทธิ 1.85 พันลบ. (-172% Q-Q, -141 % Y-Y) เนื่องจากผลของ Stock loss ราว -4.1 พันลบ. เมื่อเทียบกับ 3Q18 และ 4Q17 ที่มี Stock gain +1.0 พันลบ. และ +2.1 พันลบ. ถ้าหักรายการดังกล่าวออก กำไรปกติอยู่ที่ 2 พันลบ. (+42% Q-Q, +8% Y-Y) จาก Market GIM ที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น US$14.1/บาร์เรล (+12% Q-Q, -1% Y-Y) ส่วนกำไรทั้งปีคาดว่าอยู่ที่ 7.4 พันลบ. (-35% Y-Y) เนื่องจากปีก่อนมี Stock gain จำนวนมาก แม้เรายังคงราคาเป้าหมายที่ 7.5 บาท (EV/EBITDA 8.2 เท่า ตามค่าเฉลี่ยในอดีต) แต่ด้วยแนวโน้มกำไร 1Q19 ที่อาจฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มเพราะมีแผนหยุดซ่อมเพื่อติดตั้งหน่วย UHV เพิ่มเติม จึงแนะนำ Switch ไป PTTGC หรือกลุ่มโรงกลั่นก่อน
(-) THCOM ประกาศขาดทุนสุทธิ 4Q18 ที่ 1,990 ลบ. โดยมีการตั้งด้อยค่าดาวเทียม 2,253 ลบ. ซึ่งหากตัดรายการดังกล่าวออกจะมีขาดทุนปกติ 181 ลบ. โดยทั้งปี 2018 มีกำไรสุทธิ 230 ลบ.พลิกจากขาดทุนหนัก 2,650 ลบ.ในปีก่อน ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ 120 ลบ.จากขาดทุน 124 ลบ. อย่างก็ตามเรายังคงมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัวซึ่งสะท้อนถึงการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์อย่างมีนัยยะซึ่งเกิดขึ้น 2 ปีติดต่อกัน จึงยังไม่มีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน
(+) CMAN จากผลผลิตน้ำตาลที่ยังออกมามาก และแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงปลายปี 2018 รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง และไม่มีค่าใช้จ่ายในการ Refinance หนี้ราว 11 ลบ. ใน 3Q18 ทำให้เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q18 จะเพิ่มขึ้นถึง 78% Q-Q และ 87% Y-Y อยู่ที่ 35 ลบ. ส่วนกำไรทั้งปี 2018 จะจบใกล้เคียงที่เราคาดคือ 150-160 ลบ. +40-50% Y-Y แนวโน้มปี 2019 คาดโตต่อเนื่อง 27% Y-Y อยู่ที่ 208 ลบ. จากโรงงานในอินเดียที่เริ่มผลิตและส่งมอบปูนไลม์ได้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE2019 เพียง 12 เท่า ต่ำกว่า SUTHA ที่ซื้อขายในช่วง 15-16 เท่า เรายังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
11 ก.พ. - สหรัฐฯ: 4Q18 GDP, อัตราเงินเฟ้อ PCE
13 ก.พ. - สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.)
14 ก.พ. - จีน: ดุลการค้า (ม.ค.)
14-15 ก.พ. - เจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (เจ้าหน้าที่ระดับสูง)
15 ก.พ. - จีน: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.)
(-) ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวลง จากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง หลังประเด็นเรื่อง Brexit กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง
(-) ภาพรวมตลาดเอเชียเช้านี้อ่อนตัวลง จาก Sentiment เชิงลบจากสหรัฐ
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น +0.08 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 52.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ขยับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบของ OPEC ลดลงมากกว่าคาด
(+) ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น +4.30 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1318.50 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research