- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 29 January 2019 15:22
- Hits: 3323
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนีหุ้นไทยยังติดแนวต้าน 1630 จุด แม้มีแรงหนุนของ Fund flow แต่ถูกกดดันจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มน้ำมัน ซึ่งตลาดกลับมากังวลต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง เมื่อมีการดำเนินคดีกับผู้บริหารหัวเว่ย ที่ถูกกล่าวหาว่าค้าขายกับอิหร่าน ซึ่งสหรัฐเพิ่งประกาศคว่ำบาตรทางการค้า ขณะที่การรายงานงบ 4Q61 ของหุ้น Real Sector และตามด้วยการขึ้นเครื่องหมาย XD เลือก QH([email protected]) เป็น Top pick และยังชื่นชอบ BJC (FV@B61), KBANK (FV@B246) และ STEC ([email protected])
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index พักฐาน
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ เข้าสู่ช่วงการพักฐาน หลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามดัชนียังสามารถปิดในแดนบวกได้ ที่ระดับ 1625.03 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1.45 จุด (+0.09 %) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.84 หมื่นล้านบาท โดยแรงหนุนหลักมาจากกลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC +3.10% และหุ้นรายตัว อาทิ CPN +1.58% HMPRO +2.65% นอกจากนี้ ยังมีแรงเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ถูกสลับสับเปลี่ยนกันเก็งกำไร ทำให้ราคาหุ้นหวือหวาพอสมควร ขณะที่กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธ.พ. แกว่งตัวในฝั่งลบ กดดัน SET Index
แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยกลับมาผันผวนหลังจากที่ยังไม่สามารถผ่าน แนวต้านของวันที่ 1630 จุด โดยตลาดกังวลต่อเศรษฐกิจโลก จากผลกระทบที่มีการดำเนินคดีกับผู้บริหารหัวเว่ย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าค้าขายกับอิหร่าน ซึ่งถูกคว่ำบาตรทางการค้าในขณะนี้ แต่เชื่อว่าปัจจัยหนุนในประเทศ โดยเฉพาะ การเมืองที่เข้าสู่การเลือกตั้ง ยังหนุน fund flow และ หลังประกาศผลการดำเนินงาน 4Q61 จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD เป็นจังหวะสะสมหุ้นปันผล ก่อนขึ้น XD ราว 1-2 เดือน เริ่มจาก PTTEP, PTT, SAT, MAJOR, QH เป็นต้น (ติดตามอ่านรายละเอียด กลยุทธ์ Dividend Play เมื่อ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา หรือชมผ่าน ASP FB Live, Youtube หัวข้อ Dividend Play ในวันเดียวกัน
ราคาน้ำมันอ่อนตัว..เพียงช่วงสั้น ๆ ยังให้สะสม PTT, PTTEP
วันนี้เป็นวันแรกของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ระหว่าง 29-30 ม.ค. ซึ่งตลาดคาด Fed จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%ตามเดิม และแนวโน้มในปีนี้มีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากคือ 2 ครั้ง และอาจจะชะลอออกไป เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบของสงครามการค้า สะท้อนจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสำคัญๆ บางประการ อาทิ PMI ภาคการผลิตทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี การขึ้นดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาดมีส่วนกดดันให้ Dollar Index แกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่าราว 0.43%ytd
และวานนี้ยุโรปประกาศเตรียมจะเปลี่ยนสกุลเงินในการซื้อขายน้ำมันเป็นสกุลยูโร แทนปัจจุบันใช้สกุลดอลลาร์ ราว 289 พันล้านเหรียญต่อปี หรือราว 85%ของสกุลเงินทั้งหมดในการซื้อขายน้ำมัน ซึ่งยิ่งเป็นการกดดัน Dollar Index อ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบแกว่งตัวต่ำกว่า 60 เหรียญ หลัก ๆ น่าจะมาจากความกังวลต่อสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ซึ่งกำลังเข้าสู่การเจรจากกันในช่วง 2 วันนับจากนี้คือ และ 30-31 ม.ค. อาจจะไม่ราบรื่น หลังมีข่าวการจับกุมนาง Meng Wanzhou ซึ่งเป็น CFO ของ Huawei ซึ่งบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ที่แคนาดาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2561 และวานนี้ยังถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐตั้งข้อหาทำผิดคดีอาญาหลายข้อหา อาทิ ทำการค้าขายกับอิหร่านซึ่งละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของต่ออิหร่านของสหรัฐ, ขโมยเทคโนโลยีจาก T-mobile ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมของสหรัฐ แม้เชื่อว่าปัญหาการจับกุมน่าจะคนละประเด็นกับการเจรจาการค้า
ส่วนการเจรจาการค้าในรอบ 30-31 ม.ค. นี้ ที่ Washington, D.C เป็นการพูดคุยถึงความคืบหน้าในการทำตามข้อตกลง หลังจากทั้ง 2 ประเทศ ได้ยุติการประกาศสงครามการค้าชั่วคราวในการประชุม G-20 เมื่อปลาย พ.ย. 2561 โดยสหรัฐชะลอการขึ้นภาษีสินค้า 2 แสนล้านเหรียญฯ จาก 10% เป็น 25% ในเดือน ม.ค. ออกไป 90 วัน ส่วนจีนยอมกลับมานำเข้าสินค้าจากสหรัฐตามปกติ หลังชะลอการนำเข้า ตั้งแต่มีสงครามการค้า โดย ASPS ยังเชื่อว่าทั้ง 2 ประเทศ ยังคงมีท่าทีประนีประนอมกันจนกว่าจะถึงการประชุมรอบสำคัญคือ 1 มี.ค. 2562
โดยรวมแม้ราคาน้ำมันดิบโลกจะทรงตัวต่ำกว่า 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS ที่กำหนดไว้ 65 เหรียญ ในปี 2562 แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมายืนเหนือ 60 เหรียฯ ในช่วงที่เหลือ (และกำหนด 70 เหรียญฯ นับจากปี 2563 เป็นต้นไป) ราคาหุ้น PTTEP(FV@B168) และ PTT(FV@B56) ที่อ่อนตัวถือเป็นจังหวะสะสม และหุ้นทั้ง 2 บริษัทใกล้จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือน ก.พ.
DTAC รายงานกำไรงวด 4Q61 หดตัว ตามด้วย SCC
เข้าสู่การรายงานงบ 4Q61 ของภาค Real sector โดยวานนี้เริ่มที่ DTAC รายงานขาดทุนใน 4Q61 ตามคาดที่ 4.9 พันล้านบาท หลักๆเป็นผลของการบันทึกรายจ่ายยุติข้อพิพาทที่มีส่วนใหญ่กับ CAT หลังภาษีราว 6.3 พันล้านบาท หากนับเฉพาะกำไรปกติ พบว่ามีการ Turnaround กลับมาเป็นกำไร เพราะได้หยุดรับรู้ต้นทุนคลื่นสัมปทานในส่วนค่าตัดจำหน่ายสิทธิการใช้อุปกรณ์สัมปทาน หลังสิ้นสุดอายุคลื่น 15 ก.ย. ขณะที่แนวโน้มกำไรปี 2562 น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้แรง เพราะเปลี่ยนมาให้บริการบนระบบใบอนุญาตเต็มปี ซึ่งมี ต้นทุนค่าใบอนุญาต ต่ำกว่าระบบสัมปทานเดิมมาก ๆ เชื่อว่าราคาหุ้นผ่านจุดเลวร้ายแล้ว ยังแนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐานที่ 57 บาท อย่างไรก็ตาม DTAC ประกาศงดจ่ายเงินปันผล 2H61
และในสัปดาห์นี้จะมีการทยอยประกาศเพิ่มเติมคือ SCC คาดอยู่ที่ 9,248 ล้านบาท ลดลง 26.4%yoy และ 2.4%qoq กดดันหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและ Spread ที่ลดลง รวมทั้งเกิด Stock Loss ในงวดนี้ ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดกำไรทรงตัวจากปีก่อน แม้ต้นทุนถ่านหินจะเพิ่มขึ้น แต่ชดเชยได้ด้วยยอดขายที่สูงขึ้นเช่นกัน มีเพียงธุรกิจ Packaging ที่น่าจะทำกำไรเติบโตจากโครงการลดต้นทุนต่างๆที่ดำเนินการมาต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
ตามด้วย PTTEP คาดกำไรสุทธิ 4Q61 เท่ากับ 1.07 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.9%qoq (+13.3%yoy) เนื่องจากมีค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของโครงการมอนทารามากดดัน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากำไรปกติพบว่าเพิ่มขึ้นถึง 22.0%qoq จากปริมาณและราคาขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น และต้นทุนที่ลดลง ทำให้กำไรสุทธิปี 2561จะอยู่ราว 3.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 85% yoy มูลค่าพื้นฐาน (รวมชนะประมูลบงกชและเอราวัณ) เท่ากับ 168 บาท ให้หาจังหวะทยอยซื้อ
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงหลังงบ 4Q61 ต่ำคาด ผลจากสงครามการค้า
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น S&P500 รายงานงบฯ แล้วราว 95 บริษัท คิดเป็น 24% ของ Market Cap ทั้งตลาด ซึ่งบริษัทที่รายงานออกมาโดยรวม มีผลประกอบการดีกว่าคาดราว 70% อย่างไรก็ตาม ก็มีบริษัทที่ผลประกอบการต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะ Caterpillar Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบ ผลิต พัฒนา และจำหน่ายเครื่องจักร เครื่องยนต์ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับภาคการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งยังมีบริการด้านการเงินและประกันภัยให้กับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายให้กับทั่วโลก รายงานงบ 4Q61 ต่ำกว่าคาด 14.7% โดยกำไรสุทธิลดลงถึง 38%qoq เช่นเดียวกับ Nvidia Corp บริษัทออกแบบ และผลิตชิปกราฟิกประมวลผลสำหรับคอมพิวเตอร์ คาดกำไรงวด 4Q61 (สิ้นสุด ม.ค.) จะลดลงถึง 41%qoq และ 35%yoy ประเมินว่ายอดขายของทั้ง 2 บริษัท ลดลงอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากจีน ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า
ทั้งนี้ Consensus คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้น S&P500 ปี 2561 ไว้ที่ 162.4 เหรียญ ส่วนปี 2562 คาดไว้ที่ 168.48 เหรียญ คิดเป็นการเติบโต (EPS Growth) เพียง 3.7% ยิ่งไปกว่านั้น EPS ปีนี้ของตลาดหุ้นสหรัฐ ยังมีการปรับลดลงต่อเนื่อง กล่าวคือ ลดลงจากสิ้นปี 2561 ที่ประเมินไว้ 175.81 เหรียญ และลดลงจากสิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ประเมินไว้ 178.36 เหรียญ เนื่องจากปีนี้ไม่มีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและผลกระทบจากสงครามการค้า
ต่างชาติยังซื้อหุ้นภูมิภาคติดต่อกัน 10 วัน เช่นเดียวกับไทย
วานนี้ต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อกันเป็นวันที่ 10 ด้วยมูลค่ารวมสูงถึง 638 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกขายสุทธิ 47 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนที่เหลือซื้อสุทธิทุกประเทศ คือ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 350 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยไต้หวัน 226 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8), ฟิลิปปินส์ 43 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) และไทยที่ต่างชาติเดินหน้าซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันนที่ 3 มูลค่า 66 ล้านเหรียญ หรือ 2.1 พันล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศ สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 17 ล้านบาท
ความชัดเจนด้านการเลือกตั้ง ยังเป็นปัจจัยหนุนหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเดินมีสถานะซื้อสุทธิสะสมนับตั้งแต่ต้นปี 2562 ด้วยมูลค่า 6.7 พันล้านบาท (ytd) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศซื้อสะสมสุทธิ 7.14 พันล้านบาท (ytd) ผลักดันให้ SET Index ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 61 จุด หรือ 3.91% (ytd) อยู่ที่ 1625.03 จุด
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์