- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 January 2019 18:36
- Hits: 4169
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
กำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ต่อจากการประกาศ พ.ร.ฎ. เลือกตั้ง น่าจะเป็นปัจจัยหนุน Fund Flow ขณะที่แรงขายรับงบ 4Q61 ในกลุ่ม Real Sector หลังจากที่ ธ.พ. รายงานเสร็จสิ้น น่าจะเป็นโอกาสสะสมหุ้นรายตัวที่อิงเศรษฐกิจในประเทศจากประเด็นการเมือง (ก่อสร้าง ธ.พ. และ ค้าปลีก) หรือ หุ้นปันผล แนะนำให้สะสมก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD 1-2 เดือน Top picks เลือก BJC (FV@B61) และ KBANK (FV@B251)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index ทดสอบ 1620 จุด รับข่าววันเลือกตั้ง
การกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 มี.ค.62 ต่อจากการประกาศ พ.ร.ฎ. เลือกตั้ง ส.ส. ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางตลาดภูมิภาค โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1617.38 จุด เพิ่มขึ้น 15.61 จุด (+0.97%) มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 6.79 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่หนุนตลาดมากสุด คือ กลุ่ม ICT (INTUCH, ADVANC, THCOM เนื่องจากมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นแรงกระตุ้น) รองลงมาคือกลุ่ม ธ.พ. (SCB, KTB, BBL) กลุ่มขนส่ง และกลุ่มอสังหาฯ
แนวโน้ม SET Index วันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสเดินหน้าต่อ แรงหนุนจากกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน น่าจะดึง Fund Flow ไหลกลับมา แม้ระยะสั้นอาจจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบปรับฐาน แต่เชื่อมีโอกาสฟื้นตัวภายใต้สมมติฐานการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐ ยอมถอยคนละก้าว เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวทั้ง 2 ประเทศ ขณะที่การทำ Earnigs Preview หุ้น Real Sector อาจจะมีแรง ซื้อ-ขาย ระยะสั้นหลังการรายงานงบ ธ.พ. เสร็จสิ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1610-1625 จุด
Government Shutdown กดดัน GDP ของสหรัฐ 1Q62 ชะลอตัว
หลังจากที่ IMF และ World Bank ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth โลก รวมทั้งสหรัฐในปีนี้และปีหน้าลง ล่าสุด Barclay ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth สหรัฐปี 2562 ลงจาก 2.9% เป็น 2.8% หลักๆมาจากการปรับลดงวด 1Q62 ลงเหลือ 2.5% จากเดิม 3.0% เพราะผลกระทบจาก Government Shutdown ที่ติดต่อกันแล้ว 33 วัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลกระทบจาก Shutdown น่าจะเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากการปรับลด GDP Growth ของ Barclay ยังสอดคล้องกับคาดการณ์ของ IMF ที่คาด GDP Growth สหรัฐปี 2562 ราว 2.5%
การปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของสหรัฐ นับว่าสวนทางกับญี่ปุ่น หลังการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วานนี้ ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ขึ้น โดยปี 2562 ปรับเพิ่มจาก 0.8% เป็น 0.9% และปี 2563 ปรับเพิ่มจาก 0.8% เป็น 1.0% ซึ่งบางส่วนเป็นผลจากการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากภัยธรรมชาติช่วง 2H61 รวมถึงการลงทุนเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปี 2563 แต่ ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อญี่ปุ่นลง โดยปี 2562 ปรับลดจาก 1.6% เป็น 1.1% และปี 2563 ปรับลดจาก 1.6% เป็น 1.5% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงไว้ที่ -0.1% พร้อมคงวงเงิน QQE ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี เพราะเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังต่ำ ล่าสุดเดือน ธ.ค. ขยายตัว 0.3%yoy ชะลอลงจาก 0.8% เดือน พ.ย. รวมถึงเตรียมรับผลกระทบจากแผนการขึ้นภาษี Sales tax จาก 8% เป็น 10% ในเดือน ต.ค. 2562
เลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 น่าจะช่วยดึง Fund Flow ไหลกลับตลาดหุ้นไทย
ทันทีที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ม.ค. 2562 กกต. ก็ได้มีการจัดการประชุมเร่งด่วนทันทีเพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม กกต. ลงมติให้จัดการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 โดยกระบวนการสำคัญที่จะเกิดขึ้นจากนี้ก็คือการเปิดรับสมัครผู้ที่จะเข้ามารับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งกำหนดไว้ในช่วงวันที่ 4 – 8 ก.พ. 2562 โดยในการรับสมัครดังกล่าวพรรคการเมืองต้องส่งรายชื่อบุคคลที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีพรรคละไม่เกิน 3 ชื่อ (อาจไม่ส่งรายชื่อเลย หรือส่ง 1 คน หรือ 2 คน หรือ 3 คนก็ได้)
สำหรับขั้นตอนหลังการจัดการเลือกตั้ง กกต. จะต้องทำการรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน ซึ่งจะตรงกับที่ 23 พ.ค. 2562 แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า กกต. จะพยายามรับรองผลให้เสร็จภายใน 9 พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนด 150 วัน หลัง พ.ร.ป.4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ (11 ธ.ค. 2561) ทั้งนี้เพื่อจะขจัดความเสี่ยงอันเนื่องมาจากการตีความกฎหมายที่มีประเด็นว่าการจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จหมายความรวมถึงการรับรองผลการเลือกตั้งด้วยหรือไม่ ออกไป ซึ่งหากเป็นดังกล่าว กกต.จะมีเวลาในการรับรองผลฯ 46 วัน เมื่อรับรองผลแล้วเสร็จภายใน 15 วัน จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ซึ่งน่าจะเป็นภายในวันที่ 24 พ.ค. 2562 กระบวนการในสภาหลังจากนั้นก็จะเป็นการเลือก ประธาน ส.ส., ประธาน ส.ว. และ เลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อทั้ง 3 ตำแหน่งได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะจัดตั้ง ค.ร.ม. นำขื้นทูลเกล้าฯ หลังจากนั้น ก็จะนำ ค.ร.ม. เข้าถวายสัตย์ปฎิญาณ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาต่อไป ซึ่งกระบวนการดังกล่าวน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน และเมื่อแถลงนโยบายเรียบร้อยแล้วภายใน 15 วัน รัฐบาล คสช. และ คสช. ก็จะสิ้นสภาพ รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดือน ก.ค.2562
จุดเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรม และกำหนดการที่ชัดเจนของการเลือกตั้ง เชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อ SET Index โดยคาดหวังว่าจะเห็นการไหลกลับเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไปของ Fund Flow ต่างชาติ ซึ่งในช่วงราว 6 ปีที่ผ่านมาได้ลดน้ำหนักการถือหุ้นในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง (ดังภาพด้านล่าง)
สถานะการถือครองหุ้น ของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ความชัดเจนของวันเลือกตั้งดังกล่าว ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สะท้อนได้จากสถิติในอดีตในช่วงก่อน-หลังการเลือกตั้ง ส.ส. ของไทย 4 ครั้งหลังสุด พบว่า SET Index ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน เฉลี่ย 4% และต่อเนื่องไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 4.88% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกทั้ง 4 ครั้ง ขณะที่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงถึงกว่า 8.29 พันล้านบาท (ดังภาพด้านล่าง)
ผลตอบแทน SET Index ในช่วงก่อน-หลังวันเลือกตั้ง 4 ครั้งหลังสุด
ที่มา: ฝ่ายวิจัย ASPS
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงระดับเป้าหมาย SET Index ปี 2562 ไว้ที่ PER 16 เท่า หรือ 1795 จุด ตามเดิม ให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) ราว 10.9% โดยแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสการเลือกตั้งชัดเจน อาทิ
• กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากความคาดหวังเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะมีมากขึ้นและต่อเนื่องขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งผู้รับเหมารายใหญ่-เล็ก น่าจะได้รับประโยชน์ถ้วนหน้า โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ STEC ([email protected]) เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตที่เด่นชัดที่สุด Backlog สูงถึงกว่า 1.1 แสนล้านบาท และ CK ([email protected]) จากความพร้อมเต็มที่ทั้งกำลังพลและเครื่องจักร รองรับงานประมูลใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และยังมีจุดเด่นสำคัญจากการเข้าไปถือหุ้นบริษัทลูก ช่วยสร้างผลตอบแทนให้ CK สม่ำเสมอ
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้ประโยชน์จากความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่ และ SME ตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชนที่ทยอยเกิดขึ้น แนะนำ KBANK (FV@B251) และ BBL (FV@B227)
• กลุ่มค้าปลีก คาดว่ากระแสการเลือกตั้ง จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยคึกคักขึ้น หนุนให้เม็ดเงินสะพัดทั้งในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง แนะนำ ROBINS ([email protected]), BJC ([email protected]) และ CPALL ([email protected])
• กลุ่มสื่อ-สิ่งพืมพ์ โดยเฉพาะสื่อนอกบ้าน เนื่องจากจะมีการหาเสียง ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งกันมากขึ้น แนะนำ PLANB ([email protected]) จากการมีสื่อประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุมและครบถ้วนในทุกๆ platform
• กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะของโครงการ EEC ที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง แนะนำ WHA ([email protected]) และ AMATA ([email protected])
เชื่อว่าพัฒนาการเชิงบวกทางการเมือง หนุน Fund Flow ไหลกลับ
วานนี้แม้แรงซื้อหุ้นในภูมิภาคจะเบาลง แต่ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ด้วยมูลค่ารวม 35 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 2 ประเทศ คือ ตลาดหุ้นไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 119 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) และฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 ประเทศต่างชาติสลับมาขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ 56 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 10 วัน), อินโดนีเซีย 10 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกันนาน 17 วัน) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 21 ล้านเหรียญ หรือ 686 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) อย่างไรก็ตาม SET Index ยังได้แรงหนุนจากสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 5.98 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
หากพิจารณาเฉพาะตลาดหุ้นไทย ในปี 2561 Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยเดือนละ 2.4 หมื่นล้านบาท แต่ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2562 ต่างชาติเริ่มสลับกลับมาซื้อบ้าง โดยมีสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทย 335 ล้านบาท (ytd) และเชื่อว่าพัฒนาการเชิงบวกทางด้านการเมือง น่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นแรงส่งที่สำคัญของ SET Index
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์