- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 22 January 2019 23:16
- Hits: 1645
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Daily Trading Focus
“GDP จีน’61 ต่ำสุด 28 ปี คาดมีมาตรการกระตุ้นเพิ่ม”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +4.61 จุด ปิดที่ 1588.38 จุด มูลค่าการซื้อขายปานกลางที่ 45.1 พันล้านบาท สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่ส่วนใหญ่ปรับขึ้น ตามความคาดหวังสงครามการค้าจะชะลอลง น้ำมันปรับขึ้น แต่ถูกฉุดด้วยการปรับลงของ BDMS และ BA หลังผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารมีความผิด รวมแล้วมีผลกับ SET อยู่ -3.25 จุด กำไรกลุ่มสถาบันการเงินต่ำกว่าคาด และตัวเลขส่งออก ธ.ค.61และตลอดปี 61 ต่ำกว่าเป้าหมาย ด้านผู้ขายสุทธิคือ รายย่อย 1.2 พันลบ.ต่างชาติ 1.1 พันลบ. และพอร์ตโบรกเกอร์ขายเล็กน้อย ส่วนผู้ซื้อสุทธิรายเดียวเป็น สถาบัน 2.9 พันลบ. ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นคาดว่า SET จะ Sideways ในเชิงลบ แม้ตลาดหลักๆปิดทำการในวันหยุด แต่มีเรื่องสำคัญคือ กังวลเศรษฐกิจของจีนปี 61 ออกมาต่ำสุดในรอบ 28 ปี IMFปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจโลก ส่งออกไทยงวด 1Q62 มีแนวโน้มอ่อนลง ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับลงถ้วนหน้า
# ปัจจัยลบเพิ่มคือ ดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวลง ต่างชาติกลับมาขายสุทธิ รวมทั้งผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยรวมออกมาต่ำกว่าคาด ด้านปัจจัยบวกคือบาทแข็ง ลุ้นจีนมีมาตรการเพิ่ม และรอผลเจรจาปลายเดือนนี้
# กลยุทธ์ คือ ระยะสั้น หากมีการรีบาวด์ เก็งกำไรรอบสั้นแนวต้านเป็น 1595-1600 จุด ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง รออ่อนตัว ด้านแนวรับที่ 1560-1550 จุด ส่วนดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1780 จุด (+0.5 SD) ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปี 61-62 ที่ +8%/+6% ตามลำดับ แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Top Pick ในงวด 1Q62 คือ AOT,BBL,CPALL,HANA,PTT และ WHA
# หุ้นเด่น SEAFCO : คาดการณ์กำไรหลัก 4Q61 เติบโตดี 400% y-o-y และตลอดปี 61/62 เป็น +111%/+8% งานก่อสร้างในมือสูงที่ 2.9 พันล้านบาท รับประกันประมาณการรายได้ปี 62 เป็น 70% แล้ว คงคำแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 11.98 บาท รอผลประมูลงานใหม่อีก 23 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะได้รับที่สัดส่วน20%-30% และตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 5% ที่เมียนมาร์เป็นหลัก
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เหมือนจะเป็นแค่บวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”(เพียงเล็กน้อย)อีกครั้ง (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“SMA10” และOversoldในกราฟรายนาทีเดิม“หนุน”ต่อ) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1595 – 1600 (หรือ 1610) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1580” จุด}
ส่วนหุ้นเข้ามาใหม่มีสัญญาณบวกทางเทคนิคหรือมีโอกาสทำ New High ได้ คือ KBANK,ORI,PTG,SPRC,VNT,GLOBAL,TU ด้านหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือBANPU,MINT สำหรับหุ้นที่หลุด List คือ ROBIN,S และหุ้นอยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit TOP,GLOW,PTTGC
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : GOLD (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 10.86)
JKN (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 13.60)
SCB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 138.00)
Flash Note : BBL (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 260.00)
KKP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 97.00)
KTB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 20.40)
PTTEP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 35.00)
TCAP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 66.00)
In The News : ข่าวเด่นวันนี้
New Listing : CAZ
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/+ จีน: GDP ปี 61 ต่ำสุดในรอบ 28 ปี แต่คาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมา
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 4/2561ขยายตัว 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 28 ปีขณะที่จีนกำลังเผชิญกับผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้ากับสหรัฐ
# ทั้งนี้ แม้ GDP ปี 2561 จะอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนกำหนดเอาไว้ที่ 6.5% แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับการขยายตัวที่ 6.8% ในปี 2560
# ผลกระทบ: แม้ว่าตลาดฯจะกังกวลในระยะสั้น แต่ที่ผ่านมาจีนก็ได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปล่วงหน้าแล้ว เช่นมาตรการลดภาษี การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ แต่ก็คาดว่าจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มตามมาอีกขณะเดียวกันจะมีการเจรจากับสหรัฐเพิ่ม โดยจีนจะไปเยือนสหรัฐ ระหว่างวันที่ 30-31 ม.ค.62 นี้
- IMF: หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.5% ปีนี้, 3.6% ปีหน้า
# กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในวันนี้ ขณะที่เตือนว่ายังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6%ในปีหน้า โดยต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
# IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการขยายตัว 2.0% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า ส่วนกลุ่มประเทศเกิดใหม่ จะมีการขยายตัว 4.5% ในปีนี้ และ 4.9% ในปีหน้า
# IMF เดือนว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง ขณะที่เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลงมากกว่าคาด
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดทำการ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ปิดทำการ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ส่วนน้ำมันตลาดล่วงหน้าแกว่งแคบ
# แต่สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวในช่วงแคบวานนี้ ขณะที่ราคายังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน
# ณ เวลา 19.36 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.พ. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEXขยับขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.09% สู่ระดับ 53.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปิดทำการ เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-/• ส่งออกไทย: ตัวเลขส่งออก ธ.ค.61 และตลอดปี 61 ออกมาต่ำกว่าเป้าหมาย
# กระทรวงพาณิชย์ เผยส่งออกไทย ธ- หดตัว .ค.1.72- จากตลาดคาด %0.66 ภาพรวมทั้งปีขยายตัว %.7%
# ผลกระทบ: ยอดส่งออกทั้ง ธ.ค.และตลอดปี 61 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 8% และคาดว่าปี 62 จะยิ่งชะลอลง เพราะสงครามการค้าจีน-สหรัฐ เห็นผล จึงมีการตั้งเป้าหมายการส่งออกปี 62 ลดลงจากปี 61 เป็น 4-5% แต่ต้องติดตามการเจรจาการค้าที่มีความผันผวนสูง ซึ่งขณะนี้เป็นบวกมากขึ้น ทั้งเรื่องจีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มจนขาดดุลการค้าสหรัฐฯเป็นศูนย์ในระยะยาว และสหรัฐฯกำลังทบทวนภาษีนำเข้าจีนให้ลดลง หากจีนยอมเป็นทวิภาคี ซึ่งพิจารณาแล้วดูเงื่อนไขจะดีเกินจริง จึงยังมีการเปลี่ยนแปลงได้ ให้ติดตามการประชุมระหว่างสหรัฐกับจีน โดยจีนจะไปเยือนสหรัฐ ระหว่างวันที่30-31 ม.ค.62 นี้
-กสิกรมองตัวเลขส่งออก ไตรมาส 1/62 มีโอกาสอ่อนลง
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากปัจจัยสงครามการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นความท้าทายของการส่งออกไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 นี้ ซึ่งอาจจะทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/2562 ต่ำกว่าประมาณการส่งออกทั้งปี 2562 ที่ 4.5% เนื่องจากมีหลายปัจจัยท้าทายที่ยังรออยู่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ชะลอตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบโลกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นแรงฉุดมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียม ค่าของเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งในเรื่องของราคาสินค้าส่งออก รวมไปถึงปัจจัยฐานที่สูงในปีก่อนแม้ในไตรมาสที่ 1/2562 จะเป็นนอกฤดูกาลส่งออก (Low season)
+ กลุ่มพาณิชย์: เข้าใกล้เทศกาลตรุษจีน 4-5 ก.พ.62 ได้เงินคืนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม
# ตามที่กระทรวงการคลังออกมาตรการส่งเสริมการลดใช้เงินสดรับเทศกาลตรุษจีนด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 5%สำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตนั้น ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เชิญชวนผู้ถือบัตรเดบิตมาลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์www.epayment.go.th ตั้งแต่วันที่ 7-31 ม.ค. 2562 และเริ่มซื้อสินค้าและบริการที่มี VAT (ไม่รวมสินค้าภาษีสรรพสามิต 5ประเภท ได้แก่ สุรา ยาสูบ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน รถยนต์ และรถจักยานยนต์) ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่1-15 ก.พ. 2562 เพื่อรับ VAT คืน 5% ไม่เกิน 1,000 บาทต่อคน (เท่ากับการซื้อสินค้าและบริการประมาณ 21,400 บาท)โดยรับเงินผ่านพร้อมเพย์ที่สมัครโดยใช้เลขประจำตัวประชาชนผูกกับบัญชีธนาคารใดก็ได้ ภายในพ.ย. 2562 เงื่อนไขเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด (Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์กลุ่มพาณิชย์ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุนปี 2562 เพราะการฟื้นตัวของภาวะการบริโภคโดยเฉพาะปัจจัยการเลือกตั้ง และมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐข้างต้นคือ คืนภาษี VAT ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและแนะนำให้ ซื้อ คือ CPALL ราคาพื้นฐาน 83.00 บาท และ HMPRO ราคาพื้นฐาน 17.50บาท
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]