- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 15 January 2019 14:43
- Hits: 657
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนียังผันผวน จากความกังวลภายนอก โดยเฉพาะจีนที่เห็นการชะลอตัวชัดเจน จากผลกระทบสงครามการค้า และเข้าสู่ช่วงประกาศงบ 4Q61 ของกลุ่ม ธ.พ. อาจมีแรงขายรับงบช่วงสั้น แต่จะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลตามมา จึงแนะนำสะสมหุ้น High Dividend Yield Top picks เลือก QH([email protected]) และ MAJOR([email protected]) เงินปันผลกว่า 8% และ 5.8% ตามลำดับ
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET กลับมาทดสอบ 1600 จุด
วานนี้ SET Index แกว่งในแดนลบตลอดทั้งวัน และปิดระดับที่ 1582.57 จุด ลดลง 14.47 จุด (-0.91%) มูลค่าการซื้อขาย 4.15 หมื่นล้านบาท ตลาดฯ เผชิญกับแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้นปิโตรฯ อย่าง IVL ราคาหุ้นร่วงหนักเกือบ 10% คาดกำไร 4Q61 อ่อนตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากแรงกดดัน spread ปรับตัวลง และมีโอกาสบันทึกขาดทุนจากสินค้าคงเหลือตามราคาที่ลดลง เช่นเดียวกับ TOP ราคาหุ้นร่วง 4.3% ซึ่งมาจากแรงขายรับงบ 4Q61 ซึ่งคาดว่าจะขาดทุนกว่า 4.9 พันล้านบาท จาก stock loss เป็นหลัก ส่วนหุ้น PTT PTTEP อ่อนตัวลง 2.5% และ 1.2% ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ย่อตัวลง ตรงข้ามหุ้นกลุ่ม ICT และ รพ. แรงขายเริ่มบางลงหลังจากซึมซับปัจจัยลบเฉพาะกลุ่มไปแล้ว และมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นรายตัวอย่าง BDMS(+2.6%) หลังเตรียมบันทึกกำไรจากการขาย RAM
แนวโน้มดัชนีวันนี้มีโอกาสย่อตัวต่อ จากความกังวลต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะจีนที่เผชิญกับเศรษฐกิจชะลอตัวชัดเจน การส่งออกหดตัวจากสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา กดดันราคาน้ำมันปรับฐานระยะสั้น และตามมาด้วยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสัปดาห์นี้ ทยอยรายงานงบกลุ่ม ธ.พ. เริ่มจาก TISCO และกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรเคมี แนวโน้มกำไรหดตัวหรือติดลบ
ส่งออกจีนชะลอตัวชัดเจน กดดันเศรษฐกิจโลก
ยอดการค้าระหว่างประเทศของจีนยังส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง จากผลกระทบสงครามการค้า ล่าสุดเดือน ธ.ค. พบว่า ยอดส่งออกและหดตัว 4.4%(ตลาดคาด 3%) ชะลอลงติดต่อกัน 3 เดือน ทำให้เฉลี่ยงวด 4Q61 เติบโต 4.6% ชะลอจาก 11.7% ในงวด 3Q61 และ 11.5% ในงวด 2Q61 (เฉลี่ยปี 2561 ที่ 8.1% ชะลอจาก 11.2% ในปี 2560) เช่นเดียวกับยอดนำเข้า เดือนเดียวกันหดตัว 7.6% (ตลาดคาด 5%) และเฉลี่ยงวด 4Q61 เติบโต 5.2% ชะลอจาก 20.7% เท่ากันในงวด 2Q61และ 3Q61 เท่ากัน สอดคล้องกับ ดัชนีชีนำภาคการผลิตของเศรษฐกิจจีน คือ PMI ล่าสุด เดือน ธ.ค. ที่ทำจุดต่ำสุดในรอบราว 2 ปี อยู่ที่ 49.4 จุด (ต่ำกว่า50 จุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนซบเซา)
โดยรวมปี 2562 ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังกดดัน การค้าโลกต่อเนื่องจากปี 2561 ไทยไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็น 1 ประเทศคู่ค้าหลักของจีน โดยจีนมีสัดส่วนการค้ากับไทยสูงสุด 18%ของการค้าทั้งหมด(X+M) รองลงมา ญี่ปุ่น 11.5% และ สหรัฐ 9.7% เป็นต้น โดย ASPS คาดส่งออก(รูปดอลลาร์)ปี 2562 เติบโตน้อยมากราว 0.5% จาก 7% ในปี 2561 และเชื่อว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากภายในประเทศเป็นหลัก คือจากการลงทุนภาครัฐ และลงทุนภาคเอกชนควบคู่กับการกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน โดยยังคงคาด GDP Growth ปี2562 จะขยายตัว 3.5% จาก 4%ในปี 2561 ซึ่งน่าจะสะท้อนในตลาดหุ้นระดับหนึ่งแล้ว
ปรับลดกำไร IVL สะท้อน Spread ที่หดตัว และยังแนะนำ Switch
นักวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมี ASPS คาดกำไรสุทธิ 4Q61 ของ IVL จะลดลงมากถึง 75.8%qoq จากการบันทึกขาดทุนสินค้าคงเหลือ จากราคา PET และ PTA ที่ลดลงโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติคาดลดลงถึง 55.3%qoq ผลจากปริมาณขายลดลง แม้จะทยอยรับรู้โครงการที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาเต็มทั้งไตรมาสหลายโครงการ แต่ถูกหักล้างด้วย Utilization rate ที่ลดลงมาอยู่ที่ 80% จาก 87% ในงวดก่อนหน้า (เพราะเป็นช่วง low season) นอกจากนี้แรงกดดันจาก spread โดยเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงราว 25%qoq ทั้งในส่วนของ spread Asia PET (คิดเป็น 11% ของปริมาณขายรวม) ลดลง 35.5%qoq, spread Asia PTA (11% ของปริมาณขายรวม) ลดลง 15.9%qoq, spread West PET (26% ของปริมาณขายรวม) ลดลง 17.5%qoq, และ spread US MEG (4% ของปริมาณขายรวม) ลดลง 6.8%qoq
ด้วยเหตุนี้ จึงได้ปรับประมาณการกำไรปกติของ IVL โดยปรับลดสมมติฐาน EBITDA/ton ระยะยาวตั้งแต่ปี 2562 ลงเหลือ 130 จาก 135 เหรียญฯ และปรับลด utilization rate ของโรงงานลง เนื่องจากคาดว่าปริมาณขายจะลดลงราว 3-5% ซึ่งเป็นผลจาก spread ที่ลดลงแรงโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตามความต้องการใช้ที่ลดลง นอกจากนี้ได้ปรับลดสมมติฐาน L-T Growth rate เหลือ 1% จาก 2% จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าโดยเฉพาะจีนซึ่งถือเป็นผู้บริโภคหลักในภูมิภาคเอเชีย
ภายใต้ประมาณการใหม่ Fair Value อยู่ที่ 58 บาท (เดิม 64 บาท) คาดกำไรปกติในปี 2562 จะ ทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2561 ส่วนปี 2563 คาดกำไรปกติจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.5%yoy จากสมมติฐานปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 1.9% จึงยังคงแนะนำ switch ประเมินไม่ใช่จังหวะเข้าซื้อลงทุนยามนี้ ได้เพียงแต่เก็งกำไรช่วงสั้นรับการฟื้นตัวของกำไรในงวด 1Q62 เท่านั้น
ลดคำแนะนำ TISCO เป็น Switch หลังสัญญาณ NPL เพิ่ม
วานนี้ TISCO รายงานผลการดำเนินงานงวด 4Q61 กำไรสุทธิเท่ากับ 1.69 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1%YoY และสูงกว่าคาด 8% เนื่องจากประเมินค่าใช้จ่ายพนักงานสูงไป แต่ลดลง 7.0% qoq เนื่องจากมีการปรับปรุงรายได้จากการดำเนินงานอื่น ขณะที่ธุรกิจหลักอื่นๆ ใกล้เคียงคาดทั้ง NIM และค่าธรรมเนียมฯ ที่ยังชะลอตัว นอกจากนี้ ยังพบว่าคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลง โดย NPL ขยับขึ้น ฉุด coverage ratio ลดลง เนื่องจากการปรับวิธีจัดชั้นหนี้ให้ระมัดระวังขึ้นในกลุ่มสินเชื่อบ้าน และจำนำทะเบียน ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่สร้างความกังวล จนกว่าขั้นตอนการปรับปรุงระบบการรับชำระเงินค่างวดแล้วเสร็จ
แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2562-63 เล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจปี 2562 เป็นไปในเชิงรุกขึ้นจากปี 2561 แต่ปรับลดมูลค่าพื้นฐานลงเหลือ 85 บาท (เดิม 95.70 บาท) โดยปรับลด Long term growth จากเดิม 7.6% เหลือ 5.5% ทำให้ PBV ลดลงจาก 1.9 เท่ากับมาที่ 1.67 เท่า สะท้อนความกังวลต่อคุณภาพสินทรัพย์ จึงแนะนำให้ switch (เดิมซื้อ) ไปลงทุนใน KBANK, BBL
ถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. พ.ร.ฏ ควรประกาศอย่างช้า ก.พ.
ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หลังจากประกาศพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฏ.) ให้จัดการเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน โดยการประกาศวันเลือกตั้ง กกต. ต้องดำเนินการภายใน 5 วัน หลังจากที่ พ.ร.ฏ. ถูกประกาศ ซึ่งหากยึดตามเกณฑ์ดังกล่าว และหากมาพิจารณาถึงวันเลือกตั้งที่ถูกกำหนดมาเป็นทางเลือก ซึ่งได้แก่วันอาทิตย์ ของเดือน มี.ค. 2562 ฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 วัน ได้แก่ 10 ,17 และ 24 มี.ค. 2561 รายละเอียดดังตารางด้านล่าง
• 10 มี.ค.2562 น่าจะเป็นวันที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับ กกต. เพราะเมื่อบวกช่วงเวลารับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน แล้ว ยังอยู่ในกรอบ 150 วัน หลัง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ คือ 9 พ.ค.2562 ในกรณีนี้ พ.ร.ฎ.ฯ ต้องประกาศภายใน 24 ม.ค. 2562
• 17 มี.ค. 2562 เมื่อบวกช่วงเวลารับรองผลการเลืกตั้ง 60 วัน แล้ว จะตรงกับ 16 พ.ค.2562 ซึ่งเกินกำหนด 150 วัน หากเกิดขึ้นต้องอยู่บนจุดยืนว่า ความหมายของการจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ต้องไม่นับรวมช่วงเวลาที่ใช้สำหรับการรับรองผลการเลือกตั้ง 60 วัน ซึ่งอาจต้องส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญตีความ กรณีนี้ พ.ร.ฎ.ฯ ต้องประกาศหลัง 16 ม.ค. แต่ไม่เกิน 31 ม.ค. 2562
• 24 มี.ค.2562 เป็นทางเลือกที่น่าจะหลีกเลี่ยงการทับซ้อนกับหมายกำหนดการ ในงานบรมราชาภิเษก ได้ดีที่สุด เนื่องจากจะมีการรับรองผลการเลือกตั้ง 23 พ.ค.2562 ซึ่งจะทำให้หมายกำหนดการสำหรับการเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกไปตกอยู่ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. (ไม่เกิน 7 มิ.ย.2562) ส่วนการประกาศ พ.ร.ฎ.ฯ ต้องเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 23 ม.ค. แต่ไม่เกิน 7 ก.พ.2562
ความคาดหวังต่อวันเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู่การคาดการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้จัดการเลือกตั้งล่วงหน้านั้น คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้า หรืออาจเป็นช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจจะกลับมาเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดได้
ต่างชาติยังซื้อหุ้นภูมิภาคถึง 4 แห่งท่ามกลางตลาดหุ้นโลกผันผวน
ความไม่แน่นอนในหลากหลายปัจจัยภายนอก ทั้งประเด็นสงครามการค้า, เรื่อง Brexit และตัวเลขการค้าจีนที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดยังคงกดดันตลาดหุ้น และกดดันให้วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน อย่างไรก็ตามเป็นการขายเพียงเล็กน้อย 32 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิไต้หวันเพียงแห่งเดียว 168 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิในวันก่อนหน้า) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่งซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 45 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4), อินโดนีเซีย 25 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 11), ฟิลิปปินส์ 19 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 38 ล้านเหรียญ หรือ 1.21 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาขายสุทธิ 2.73 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิในวันก่อนหน้า)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติซื้อสุทธิอีก 405 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) กดดันให้ Bond Yield 10 ปี ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.48% ด้วยแรงซื้อทั้งตราสารหนี้และหุ้นไทยของต่างชาติ เป็นส่วนหนึ่งที่หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
หลังประกาศงบ 4Q61 ตามด้วยการจ่ายเงินปันผล ชอบ QH... Div yield สูงกว่า 8%
ดัชนีผันผวนต่ำกว่า 1600 จุด แต่คาดว่าน่าจะเป็นโอกาสการสะสมหุ้นปันผลเด่น ซึ่งฝ่ายวิจัยจึงคัดกรองหุ้น โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการฯ ปีนี้เติบโต มี Upside เปิดกว้าง หรือปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด อีกทั้งยังมี Dividend Yield สูง ได้รายชื่อหุ้นดังตารางด้านล่าง โดยแนะนำ QH และ MAJOR ที่ให้ Div yield สูงกว่า 8% และ 5.8% โดยเฉพาะ MAJOR คาดว่าผลประกอบการงวด 4Q61 น่าจะเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับ 4Q60 ซึ่งยังคงเป็นช่วงไว้อาลัย ขณะที่ 4Q61 มีภาพยนต์เข้าฉายทำเงินหลายเรื่องทั้งภาพยนตร์ไทย เรื่อง นาคี 2 ,Homestay และหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์อย่าง Fantastic Beast 2, Bumblebee, Aquaman ล้วนกวาดรายได้ไปแบบถล่มทลายเหนือความคาดหมาย รวมทั้งได้อานิสงค์จากการเปิดโรงภาพยนตร์ที่ห้างเปิดใหม่ ICON SIAM ซึ่งเป็นกระแสของคนกรุงเทพ ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. คาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2561 เท่ากับ 1,045 ล้านบาท บวก 22% YoY
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์