- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 10 January 2019 15:08
- Hits: 3382
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
-------------------------
Market Outlook
วานนี้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,590.50 จุด -3.50 จุด (-0.22%) มูลค่าซื้อขายราว 7 หมื่น ลบ.โดยถูกกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล สำหรับวันนี้เรามอง ดัชนีลุ้น รีบาวด์ จาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1) ระดับราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2) Trade War สหรัฐฯกับจีน มีความคืบหน้าเชิงบวก และ 3) ท่าทีของ FED ที่เริ่มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย
Market Factors
(+) เรากลับมามีมุมมองบวกต่อประเด็นสงครามการค้ามากขึ้น หลังจบการประชุมระหว่างตัวแทน Mid Level ที่ปักกิ้ง โดยล่าสุดมีรายงานจาก USTR ที่ระบุว่าการพูดคุยมีพัฒนาการมากขึ้น โดยเฉพาะการที่จีนพร้อมจะนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานจากสหรัฐฯ มากขึ้น สอดคล้องกับค่าเงินดอลลาร์/หยวน ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หนุนให้เราคาดดุลการค้าของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเกินดุลมากขึ้น ลดความกังวลต่อผลกระทบต่อ ศก. ลง
(+) รายงานการประชุมเฟดที่เผยแพร่วานนี้ช่วยยืนยันมุมมองเชิงระมัดระวังของเฟดที่มีต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น หลัง ศก. ชะลอตัวลง ส่งผลให้กรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนให้ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้ตลาดลดการคาดการณ์ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปี 62 ลง โดยจาก Implied Prob. พบว่านักลงทุนในตลาดคาดเฟดมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 62 หนึ่งครั้งด้วย 12.3% ลดลงจาก 20.4% ในวันก่อนหน้า
(-) วานนี้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติให้เพิ่มรายการสินค้า 1 รายการ คือ ยาและเวชภัณฑ์เข้ามาอยู่ในบัญชีสินค้าควบคุม และถอดสินค้า 4 รายการ คือ น้ำตาลทราย เยื่อกระดาษ เม็ดพลาสติก และแบตเตอรี่รถยนต์ออกจากรายการสินค้าควบคุม ทำให้มีบัญชีสินค้าและบริการควบคุมปี 62 ทั้งหมด 52 รายการ ลดลงจากเดิม 54 รายการ ซึ่งจะนำผลประชุมเสนอครม.เห็นชอบในสัปดาห์หน้า (โพสต์ทูเดย์)
(0) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เปิดเผยว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตั้งเป้าคำขอส่งเสริมการลงทุนปี 62 เงินลงทุน 5 แสน ลบ.จากเป้าหมาย 7.2 แสน ลบ.ในปี 61 ซึ่งมียอดส่งเสริมการลงทุนมูลค่ากว่า 9 แสน ลบ. นอกจากนี้นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า เป้าหมายยอดส่งเสริมการลงทุนปี 62 ใกล้เคียงกับ ปี 61 เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว แต่มีปัจจัยบวกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ที่ต้องดำเนินการก่อนมีการเลือกตั้ง เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา และโครงการรถไฟฟ้า (อินโฟเควสท์)
Investment Strategy
เราเริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดดีขึ้น โดยคาด SET Index ในสัปดาห์นี้จะสามารถตั้งหลักเพื่อเหนือแนวรับ 1,568 จุด (Fwd PE 13.6x) ขณะที่ประเมินแนวต้านที่ 1,603 จุด (Fwd PE 13.9x) โดยมีแรงหนุนจากประเด็น Trade Wars ของสหรัฐฯ-จีนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น บวกกับเฟดยังมีแนวโน้มการชะลอขึ้นดอกเบี้ยในปี 62 อีกทั้งราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มกลับตัวขึ้นมาติดต่อกัน ดังนั้นเรายังคงแนะนำ 2 กลุ่มหุ้นโตเด่น + 1 กลุ่มกองทุนที่คาดหวังเงินปันผลจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอดังนี้
กลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค: อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่นแนะนำ AMATA (ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,777 ไร่ และพื้นที่รอการพัฒนาอีกราว8,172 ไร่), WHA (ปี 62 ตั้งเป้าขายที่ดินในนิคมไม่ต่ำกว่า1,000 ไร่พร้อมคาดได้รับลูกค้าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอีกกว่า1 แสน ตรม.), EASTW ปี 62 คาดเห็นการฟื้นตัวของกำไรสอดคล้องไปกับการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมในเขต EEC ซึ่งทำให้ความต้องการใช้น้ำดิบในบริเวณดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นนอกจากนี้ในระยะยาวบริษัทยังมุ่งเพิ่มสัดส่วนจำหน่ายน้ำควบคุมคุณภาพ (มาร์จิ้นสูง) มากขึ้นโดยล่าสุดเซ็นสัญญาให้บริการแก่ GULF (รับรู้รายได้ปี63) และAMATA (รับรู้รายได้ปี 64)
กลุ่มโรงไฟฟ้า: ลักษณะธุรกิจที่มีความสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ และเราเลือกหุ้นโรงไฟฟ้าที่ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องได้อีก 4-5 ปีข้างหน้า ได้แก่ BGRIM ปี 62 มีแผน COD โรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 682MW ทำให้มีกำลังผลิตรวม 77 GW ณสิ้นปี 62 และมีเป้าหมายระยะยาวในปี 65 ที่ 3.13GW, BPP ปี62 มีแผนCOD โรงไฟฟ้าเพิ่มอีก312MW ทำให้มีกำลังผลิตรวม2.48GW ณสิ้นปี 62 และมีเป้าหมายระยะยาวในปี 68 ที่ 4.3GW, GUNKUL ปี 62 มีแผน COD โรงไฟฟ้าโซลาร์อีก 105MW ทำให้มีกำลังผลิตรวม 401MW ณ สิ้นปี 62 และมีเป้าหมายระยะยาวในปี 65 ที่ 543MW, SSP ปี 62 รับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าโซลาร์และโซลาร์รูฟท็อปในมือ 87MW และยังมีโรงไฟฟ้าในมืออีก 141MW ที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะทยอย COD ในปี 63 เป็นต้นไป