ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index วานนี้ปรับตัวลง -5.02 จุด (-0.31%) ปิดที่ 1,596 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.49 หมื่นล้านบาท จากความกังวลเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัว หลังFED ปรับลดคาดการณ์ขยายตัว GDP สหรัฐปีนี้และปีหน้าลง รวมถึงกนง.ปรับลดประมาณการ GDP และตัวเลขการส่งออกปี 61 และ 62 ลงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นแรงขายกลุ่ม PETRO, CONS และ PROP กดดันดัชนี ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายเล็กน้อย 49 ล้านบาท และขายในตลาดพันธบัตร 2,498 ล้านบาท อีกทั้ง Net Short TFEX 727 สัญญา 

          แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาด SET Index อ่อนตัวทดสอบ 1,585 - 1,590 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในช่วง 4Q18 ตลอดถึงปี 2019 ที่ชะลอตัวลงจากผลกระทบนโยบายกีดกันทางการค้า รวมถึง FED ยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีหน้าซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงเพิ่มขึ้นและกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นผลให้ VIX index พุ่งสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ 28.4 จุด นอกจากนี้แรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงแรงต่ำสุดในรอบ 17 เดือนจากความกังวลภาวะ Oversupply รวมถึง Demand ที่อ่อนแอซึ่งเป็นลบต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มพลังงานจะเป็นแรงกดดันต่อดัชนีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามแรงซื้อกองทุน LTF RMF ช่วงปลายปีจะช่วยพยุงตลาดให้สลับรีบาวด์ในจังหวะอ่อนตัวได้  

 

          - กลุ่มสายการบิน (AAV, THAI, BA) ได้ประโยชน์จากต้นทุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง 

          - หุ้น Defensive Stock ในช่วงตลาดผันผวน BDMS, BCH และ TTW 

          - กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, ROBINS, CPALL) ยอดใช้จ่ายเพิ่มในช่วงปลายปีและนโยบายกระตุ้นภาครัฐ 

          - กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) คาดงบ 4Q18 เติบโตต่อเนื่องจากการขยายสินเชื่อและสาขาเพิ่มขึ้น 

 

หุ้นแนะนำวันนี้: TASCO (15.1 ซื้อเก็งกำไร/เป้าสูงสุด Consensus 18) อีกหนึ่งผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนในการผลิตยางมะตอยลดลงตามไปด้วย ส่งผลบวกต่อมาร์จินและกำไรของ TASCO ให้กลับมาฟื้นตัว, BEM (ปิด 9.25 ซื้อ/เป้าใหม่ 11.5 เดิม 8.6) ได้ข่าวดี กกพ.ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 37 ปี มากกว่าที่ตลาดและเราคาดไว้ 20 และ 30 ปี ตามลำดับ เพิ่ม Valuation ให้ BEM 2.9 บาทต่อหุ้น อีกทั้งยังปลดล็อก Overhang ของสัญญาสัมปทานเดิมที่จะหมดอายุในปี 2020  

          Top picks ปี 2019 : BGRIM, CPALL, EA, EPG, JMT และ ROBINS 

          KSS report วันนี้ : BEM (ปิด 9.25 อัพเกรดเป็นซื้อ/เป้าใหม่ 11.5 เดิม 9.6), Soft Commodities sector (Top pick : STA and TWPC)

 

          (-) ดาวโจนส์ร่วงต่ำสุดในรอบ 15 เดือน กังวลเศรษฐกิจถดถอย และ US shutdown หลังทรัมป์ ไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณที่วุฒิสภาสหรัฐอนุมัติ : ดาวโจนส์ร่วงอีก 464 จุด (-1.99%) ปิดที่ 22,859.60 จุด นักลงทุนยังกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลังจากเฟดปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐในปีนี้และปีหน้าเป็นขยายตัว 3% และ 2.3% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.1% และ 2.5% ตามลำดับ นอกจากนี้ตลาดยังกังวลต่อภาวะ US Shutdown หลังจากปธน.โดนัล ทรัม์ส่งสัญญาณจะโต้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวที่สภาคองเกรสให้การอนุมัติ เนื่องจากในร่างดังกล่าวไม่ได้บรรจุงบประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สำหรับสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโกตามที่เขาต้องการ (Deadline คือเที่ยงคืนวันนี้ตามเวลาสหรัฐ)

          (-) น้ำมันดิบ WTI ร่วงสู่ระดับ 45.88$/bbl ต่ำสุดในรอบ 17 เดือน จากการขายสินทรัพย์เสี่ยงและมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น อาทิ ทองคำ : ผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้นักลงทุนเทขายและลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปถือครองสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะทองคำ ปัจจัยนี้กดดันให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงอีก 2.29 ดอลลาร์ (-4.8%) ปิดที่ 45.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 17 เดือน

          (+/-) วันนี้ติดตามตัวเลขนำเข้า/ส่งออก เดือน พ.ย. จับทิศทาง GDP ไตรมาส 4/18 ของไทย ( Consensus คาดยอดส่งออก +3.1%yoy ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2) : หลังจากที่ GDP ไทยชะลอตัว 3.3% ในไตรมาส 3/18 จากการชะลอตัวลงของยอดส่งออก (เดือน ก.ย.ยอดส่งออก -5.2% ครั้งแรกในรอบ 19 เดือน) ทำให้ยอดส่งออกเป็นดัชนีชี้นำที่ตลาดกำลังเฝ้าติดตามว่าจะกลับมาขยายตัวได้หรือไม่ซึ่งจะมีผลต่อ GDP ไตรมาส 4/18 ว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่เช่นกัน โดย Consensus คาดยอดส่งออกไทยเดือน พ.ย.จะขยายตัว 3.1% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 8.7%