- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 December 2018 16:29
- Hits: 3713
บล.กรุงศรี : Money Wizard
Daily Strategy
"อ่อนตัว"
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ปรับตัวลงแรง -19.89 จุด (-1.22%) ปิดที่ 1,615 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.25 หมื่นล้านบาท จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงในช่วง 4Q18 จนถึงปี 2019 จากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สวนทางกับตลาดหุ้นรอบบ้านที่ดีดตัวขึ้นตอบรับจีนเปิดทางให้บริษัทต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้นด้วยการทบทวนนโยบาย "Made in China 2025" ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิเล็กน้อย 117 ล้านบาท และซื้อในตลาดพันธบัตร 2,070 ล้านบาท อีกทั้ง Net Long TFEX 2,251 สัญญา
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: คาด SET Index อ่อนตัวลงทดสอบ 1,600-1,610 จุด แม้ว่า ECB จะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0% และยุติการใช้ QE ในปีนี้ตามที่คาดไว้ แต่ ECB ให้มุมมองเศรษฐกิจยูโรโซนในเชิงลบโดยเตือนว่ามีความเสี่ยงในช่วงขาลงจากผลกระทบนโยบายกีดกันทางการค้า ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงความผันผวนตลาดเงิน และได้ปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้ลงสู่ 1.9% (เดิม 2%) และปีหน้าลงสู่ 1.7% (เดิม 1.8%) นอกจากนี้ความกังวลสัมปทานแหล่งบงกชและเอราวัณที่ PTTEP ประมูลได้ อาจส่งผลให้ราคาขายแก๊สอยู่ในระดับต่ำซึ่งจะกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท และเป็นแรงกดดันต่อภาวะการลงทุนในช่วงนี้
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy เน้น Domestic play
- กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, ROBINS, CPALL) ยอดใช้จ่ายเพิ่มในช่วงปลายปี
- กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) คาดงบ 4Q18 เติบโตต่อเนื่องจากการขยายสินเชื่อและสาขาเพิ่มขึ้น
- กลุ่มรับเหมา (STEC, SEAFCO) นิคมฯ (AMATA) รับผลบวกกรอบการเลือกตั้งชัดเจนขึ้น
- หุ้น Defensive Stock ในช่วงตลาดผันผวน BDMS, BCH รวมถึง TTW
หุ้นแนะนำวันนี้: CPALL (ปิด 70.75 ซื้อ/เป้า 80) ตัวแทนกลุ่มค้าปลีก โดยสถิติเลือกตั้ง 5 ครั้งหลังสุดของไทย กลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีสุดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง, BEM (9.3 ซื้อเก็งกำไร/เป้า Consensus สูงสุด 11 บาท) เก็งกำไรข่าวเจรจาสัมปทานทางด่วนใหม่ช่วยปลดล็อกสัญญาสัมปทานเดิมที่จะหมดอายุลงในปี 2020 ซึ่งจะเพิ่ม Upside ให้กับ BEM ประมาณ 2.3 บาท
Top picks ปี 2019 : BGRIM, CPALL, EA, EPG, JMT และ ROBINS
KSS report วันนี้ : BTS (ปิด 9.5 ซื้อ/เป้า 10.5), PTTEP (ปิด 125 ถือ/เป้า 135)
ประเด็นสำคัญวันนี้ :
(+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว 2.8% จากข่าวกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบเตรียมตัวทยอยการผลิตและการส่งออก : ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ (+2.8%) ปิดที่ 52.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตอบรับข่าว ซาอุฯประกาศเตรียมลดการส่งออกน้ำมันดิบให้โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐ ซึ่งจะช่วยลดสต๊อกน้ำมันดิบในสหรัฐให้ลดลง นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่ออกมารายงาน ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกในเดือน พ.ย.ที่เริ่มลดลง จากการลดกำลังการผลิตของแคนนาดา รัสเซีย และ ภูมิภาคทะเลเหนือ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโลกเดือน พ.ย.ลดลง 360,000 บาร์เรล/วัน mom สู่ระดับ 101.1 ล้านบาร์เรล/วัน
(+/-) ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0% ตามเดิม แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปีนี้และปีหน้าเป็น 1.9% และ 1.7% จากเดิม 2% และ 1.8% ตามลำดับ: ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0% ตามเดิม และประกาศยุติโครงการ QE ตั้งแต่สิ้นเดือนนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ECB มีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยประกาศลดคาดการณ์ GDP ของยูโรโซนในปีนี้และปีหน้าเป็นขยายตัว 1.9% และ 1.7% จากเดิม คาดว่าจะขยายตัว 2% และ 1.8% ตามลำดับ
(+/-) สัปดาห์หน้าติดตามประชุม เฟด คาดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.5% แต่ Dot plot หรือจำนวนครั้งของการขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าอาจลดลงจาก 3 เป็น 2 หรือ 1 ครั้ง : แม้ปัญหาสงครามการค้าจะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจประเทศอื่นๆทั่วโลก แต่ตลาดยังมั่นใจว่าเฟดจะยังเดินขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนนี้ (19 ธ.ค.) โดยมีปัจจัยผลักดันมาจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งมากๆ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ 2% (Headline inflation 2.5%, Core inflation 2.1, PCE price index 2%) โดย Bloomberg Consensus คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 73.9% ขณะเดียวกันต้องติดตามถ้อยแถลงหลังการประชุม รวมถึง Dot plot ของคณะกรรมการเฟดว่าจะมีการส่งสัญญาณหรือเปลี่ยนแปลงจำนวนครั้งในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าหรือไม่ (เดิม เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า)
นักวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน :
อาทิตย์ จันทร์สว่าง Registration No.16475
นักวิเคราะห์ เทคนิค และ นักกลยุทธ์:
ชัยยศ จิวางกูร Registration No. 15942
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์:
ยุภาวณี เล้าตระกูลชัย
ณัฐกานต์ โพธิ์ศรี