- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 December 2018 16:22
- Hits: 6554
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“มีโอกาสรีบาวด์ ทดสอบแนวต้าน 1640-1650”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันพุธรีบาวด์ +1.26 จุด ปิดที่ 1634.88 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางที่ 36.4 พันล้านบาท ดัชนีฯไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่1640 จุดไปได้ แม้มีข่าวดีเรื่อง ผู้บริหาร Huawei ได้รับประกันตัว การเจรจาการค้าจีน-สหรัฐเป็นบวกมากขึ้น ราคาน้ำมันเพิ่มได้ ถือว่า SET ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าภูมิภาค นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านบาท พอร์ตหลักทรัพย์ซื้อเล็กน้อย ด้านนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2.1 พันล้านบาท และสถาบันขายสุทธิเล็กน้อยสำหรับแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นมากคาดว่า SET มีโอกาสรีบาวด์ต่อ ทดสอบแนวต้าน 1640-1650 อีกครั้ง แต่ก็ต้องระมัดระวัง แรงขายทำกำไร หากหลุด 1630 เป็นสัญญาณ Stop Lossหลังการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐเป็นบวกมากขึ้น จีนเตรียมเปิดตลาดให้สหรัฐทั้งการนำเข้าถั่วเหลืองและรถยนต์จากสหรัฐ เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านรีบาวด์ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +31 จุด (8:03 น.) ดัชนีความกลัวปรับลด แต่มีปัจจัยลบราคาน้ำมันลด EIA ออกรายงาน Short Term Outlook ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันลง อีกทั้งบอนด์ ยิลด์ สหรัฐ 10 ปี ทยอยปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าเป็นเพราะเข้าใกล้ประชุมเฟด รวมทั้งท่าทีของทรัมป์ที่มีความผันผวนสูง
# ส่วนการประชุมเฟด 18-19 ธ.ค.61 คาดกันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรออกมาอ่อน CPI พ.ย.ทรงตัวรายเดือน แต่อ่อนแอสุดในรอบ 8 เดือน แต่ปีหน้ามีโอกาสที่จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังมีแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐชะลอ
# หุ้นเด่นเดือนธ.ค.61 เน้นไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่กองทุนในและต่างประเทศให้ความสนใจ หาจังหวะลงทุนได้แก่ ADVANC, AEONTS, BBL, KKP,TISCO, BEM, CPALL, PTTEP, TOP และหุ้นที่ราคาอ่อนลงมากแต่กำไรยังเติบโตดีในปี 62 คือ GOLD, SVI SET เป้าหมาย SET ปี 62 เป็น 1,780 จุด ใช้ประมาณการ EPS เติบโตปี 61 เป็น 8% และปี 62 ที่ 6% ประเมินด้วย P/E Median+0.5 SD
# หุ้นเด่น: BJC – คาดว่าเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากเงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีใหม่ระดับ 3-4 หมื่นล้านบาท และรัฐให้เงินผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ล่าสุดได้รับรายละ 500 บาท ซึ่งบริษัทในกลุ่มคือ BigC มีโปรโมชันที่จูงใจ ล่าสุดหากพิจารณาตามหน่วยธุรกิจแล้ว สินค้าอุปโภค บริโภค สุขภาพและเทคนิค มีการเติบโต ส่วนบรรจุภัณฑ์และ Modern Retail เป็นลบ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีโมเมนตัมการเติบโตที่ดี คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน70 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 31%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นภาพตลาดเป็นลบ ซื้อใหม่เน้นค่าบวกทั้งราคาหุ้นและดัชนี แนวต้านระยะสั้น 1640-1650, 1660 จุด, แนวรับคือ 1630, 1600หาก SET หลุด 1630 จุดดูไม่ค่อยดี ให้ Stop loss เพื่อรอซื้อช่วงปรับฐาน
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TISCO,GULF,EGCO,M,GLOBAL,VGI หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ KTB,CKP,BCH,BH หุ้นที่หลุด ListTCAP,CK,BCP หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit PR9
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/• สงครามการค้าจีน-สหรัฐ : เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
# ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาพร้อมจะแทรกแซงกรณีการจับกุมตัวนางเมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี หากจะช่วยให้สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน
# ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า จีนจะซื้อถั่วเหลืองจำนวนมากจากสหรัฐ หลังจากที่สหรัฐและจีนประกาศยุติสงครามการค้าชั่วคราว ซึ่งทรัมป์มองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นความตั้งใจที่จะลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ
# ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งระบุว่า จีนกำลังเตรียมทดแทนนโยบาย "Madein China 2025" ด้วยนโยบายใหม่ที่จะทำให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้มากขึ้น ซึ่งนโยบายใหม่นี้จะทำให้จีนลดเป้าหมายในการเป็นผู้นำในภาคการผลิต โดยคาดว่าจีนอาจใช้นโยบายใหม่ในต้นปีหน้า ขณะที่สหรัฐและจีนจะเร่งการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน
+ เฟด: คาดการณ์ว่าจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย หลัง CPI พ.ย.ออกมาต่ำ
# คาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 8 เดือน และสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.
# นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ แต่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ทรงตัว และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ซบเซาในเดือนพ.ย.
-/• ความไม่แน่นอน Brexit ของอังกฤษ
# มีความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พยายามหาทางออกให้กับร่างข้อตกลง Brexit ขณะที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ EU ในวันที่ 13-14 ธ.ค. อย่างไรก็ดี ผู้นำของ EU ส่งสัญญาณชัดเจนว่า พวกเขายินดีที่จะให้คำชี้แจงในประเด็นต่างๆต่อนางเมย์ แต่จะไม่มีการเจรจาต่อรองครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับขึ้น ตอบรับเจรจาการค้าคืบหน้า จีนจะเปิดตลาดมากขึ้น
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,527.27 จุด พุ่งขึ้น 157.03 จุด หรือ +0.64% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,651.07 จุด เพิ่มขึ้น 14.29 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,098.31 จุด เพิ่มขึ้น 66.48 จุด หรือ +0.95%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จีนเตรียมเปิดตลาดให้บริษัทต่างชาติมากขึ้น โดยความคืบหน้าด้านการค้าของทั้งสองประเทศได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นโบอิ้งและหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสภาวะการค้าในต่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในประเทศจีนนั้น ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มรถยนต์ยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขานรับข่าวจีนเตรียมปรับลดภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาน้ำมันปรับลด หลังสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐลดน้อยกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดีสัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากการที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และจากรายงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันของโอเปกลดลงในเดือนพ.ย.
# นอกจากนี้ EIA ได้ออกรายงาน "Short-term Energy Outlook" ซึ่งคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI โดยเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 65.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 2.4% จากรายงานคาดการณ์ในเดือนพ.ย. และคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI ในปีหน้าจะอยู่ที่ 54.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 16.4% จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 51.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 5 เซนต์ หรือประมาณ 0.09% ปิดที่ 60.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
• ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับขึ้น เพราะดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่1,250.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ทรงตัวของสหรัฐ
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.
ปัจจัยในประเทศ
- ADB : คงคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปรับลดไทย
# ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เปิดเผยในรายงานว่า "Asian Development Outlook (ADO) 2018" โดยระบุว่า ADB ได้คงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้เอาไว้ที่ระดับดังกล่าว และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2562 จะขยายตัว 5.1% เช่นเดียวกัน
# แต่ ADB ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ลงสู่ระดับ 4.3% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่4.5% หลังจากเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ขยายตัวที่ระดับ 3.3% ซึ่งชะลอลงจากไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง4.6%
+ คาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดคงค้างสินเชื่อทั้งระบบที่กรอบประมาณ 7.5-9.0%
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุถึงแนวโน้มตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2562 คาดว่า จะเห็นอัตราการเติบโตของยอดคงค้างสินเชื่อทั้งระบบที่กรอบประมาณ 7.5-9.0% (ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งระบบมีมูลค่าประมาณ 4.0-4.2 แสนล้านบาท) โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการเติบโตที่เร่งขึ้นจากการขยายฐานลูกค้าของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ เพื่อชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังอาจไม่ฟื้น
# ผลกระทบ: กลยุทธ์ลงทุนสำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แนะนำซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว โดยธนาคารใหญ่ที่เป็น Top pickในปี 61-62 เป็น BBL (ราคาพื้นฐาน 260 บาท) ส่วนธนาคารเล็กที่เราชอบเพราะจ่ายปันผลสูง สม่ำเสมอ คือ KKP (ราคาพื้นฐาน 97 บาท คาด Yield 7% จ่ายปีละ 2 ครั้ง) และ TISCO (ราคาพื้นฐาน 102 บาท คาด Yield 6% จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]