- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 06 December 2018 16:45
- Hits: 13432
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาดดัชนียังฟื้นตัวแต่น่าจะมีกรอบจำกัดและติดแนวต้าน 1680 จุด โดยน่าจะน่าจะมี Fund Flow ทยอยไหลกลับ หลัง bond yield ไทยสหรัฐ ค่อย ๆ แคบลง เพราะความคาดหวังสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง ตามเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัว Top picks หุ้นใหญ่ที่ Laggard KBANK(FV@B251) และ IRPC([email protected]) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า 60 เหรียญฯ และเก็งกำไรหุ้น BEC เนื่องจากได้ประโยชน์จากที่ กสทช จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายใบอนุญาตและอื่นๆ
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ….SET Index พักตัว หลังไม่ผ่าน 1680 จุด
ตลาดปิดวันอังคาร SET Index ติดลบเล็กน้อย 0.29 จุด ดัชนีปิดที่ 1672.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.66 หมื่นล้านบาท คาดเป็นการขายทำกำไรระยะสั้น หลังตลาดผ่อนคลาย การพักรบสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ในการประชุมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นปรับลดลงหุ้นพลังงานเป็นหลัก โดย PTT และ PTTEP ปรับตัวลดลง 0.5% และ 0.4% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวโดดเด่น หลังจากที่ กสทช มีแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ Digital TV พร้อม ๆ กับปรับปรุงเกณฑ์ของการประมูลคลื่นใหม่เพื่อรองรับ 5G หนุนกลุ่ม บันเทิงทั้งกลุ่ม นำโดย RS (+5.2%) BEC(+1.9%) WORK (+3.5%) ยกเว้นหุ้นสื่อสาร ผู้ให้บริการมือถือที่ทรงตัว (TRUE, DTAC) หรือลง(ADVANC) ขณะที่หุ้นใหญ่อื่นๆ ยังคงบวกเล็กน้อย คือ ธนาคาร (KBANK SCB BBL) และค้าปลีก (CPALL)
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ คาดดัชนียังแกว่งตัวแต่น่าจะติดแนวต้าน 1680 จุด โดยเชื่อว่าจะมีแรงหนุนจาก fund flow หลังผลตอบแทนพันธบัตร ( bond yield) อายุ 10 ปี ของ ไทยสหรัฐ ค่อย ๆ แคบลง เพราะความคาดหวังสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง ตามเงินเฟ้อโลกที่ชะลอตัว และราคาน้ำมันดูไบที่ต่ำกว่า 60 เหรียญฯ ถือว่าเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต คือ SCC, IRPC หรือ ลดต้นทุนขนส่งคือ DCC เป็นต้น
ประชุม OPEC คาดคุมการผลิตแต่ราคาน้ำมันน่าจะแกว่งตัว บริเวณ 60 เหรียญต่อบาร์เรล
วันนี้จะมีการรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดจะลดลงครั้งแรกในรอบ 11 สัปดาห์ราว 9.42 แสนบารร์เรล และที่สำคัญคือ การประชุม OPEC ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีโอกาสจะขยายระยะเวลาการควบคุมกำลังการผลิตน้ำมัน ที่จะสิ้นสุดปลายปีนี้ ไปถึงปี 2562 พร้อมจะลดกำลังการผลิตในปีหน้าลงอีกราว 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมัน (Demand) ที่มีแนวโน้มลดลงจาก ผลกระทบจากสงครามการค้า ที่ประกาศแล้ว 3 รอบก่อนหน้า
ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว เกิดจากการเก็งกำไร หลังจากปลายสัปดาห์ ที่ผ่านมาสหรัฐและจีนยินยอมพักสงครามการค้าไปก่อน แต่เชื่อว่าราคาน้ำมันดูไบน่าจะแกว่งตัวไม่เกิน 60 เหรียญฯ ล่าสุดอยู่ที่ 59.7 เหรียญฯ และมีแนวโน้มต่ำกว่า 60 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ยังต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS ที่ประเมินไว้ 65 เหรียญฯ ในปี 2561 และ 70 เหรียญฯ ในปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งพบว่าพบว่าราคาน้ำมันที่ปรับลงทุกๆ 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะทำให้กำไรปี 2562 และ 2563 ของ PTTEP ลดลง 13.3% และ 15.6% จากเดิม ส่วน PTT ลดลง 9.7% และ 7.0% จากเดิม จึงยังแนะนำ “switch” PTTEP (FV@B148) และ PTT (FV@B56) อย่างไรก็ตาม PTTEP อาจจะมีข่าวดีการเข้าประมูลบงกช และเอราวัณ คาดว่าจะทราบผล 18 ธ.ค. นี้
ครม. อนุมัติ ช้อบช่วยชาติ ซื้อหนังสือ ยางรถยนต์ และ สินค้าโอท็อป หนุนหุ้นค้าปลีก
วันอังคารที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติมาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นปีที่ 4 แต่รอบนี้ให้ นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า 3 ประเภท คือ ยางรถยนต์, จักรยานยนต์ และจักรยาน ที่ผลิตในไทย, หนังสือ (ทั้งสิ่งพิมพ์ และ E-Book) และสินค้าโอท็อป ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท มีผลตั้งแต่ 15 ธ.ค. 2561 – 16 ม.ค. 2562 โดยเชื่อว่ากลุ่มที่ได้ประโยชน์น่าจะเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ทำให้เกิดแรงจูงใจน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเปิดทางให้ผู้ที่มีรายได้น้อย ที่ถือบัตรสวัสดิการทั้งประเทศมีรวม 14.5 ล้านคน สามารถซื้อสินค้าในร้านค้าสมัยใหม่ หรือ Modern Trade จากเดิมซื้อสินค้าได้เฉพาะร้านธงฟ้า ระบุว่ามี Modern Trade อย่างน้อย 2 รายคือ Tesco Lotus และ Big C ที่สามารถรับชำระผ่านบัตรสวัสดิการได้ (Tesco Lotus ให้สิทธิเงินคืนจาก VAT 5%) และในส่วนของ 7-11 กำลังอยู่ระหว่างขออนุญาต น่าจะดีต่อธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะ BJC(FV@B61) และ CPALL(FV@B80)
กสทช. ลดต้นทุน มือถือ/บันเทิง สะท้อน Demand ที่แท้จริง : BEC/MONO
ตามที่ กสทช. เปิดเผยแนวทางดำเนินงานปี 2562 มุ่งช่วยลดผู้ให้บริการธุรกิจโทรคมนาคม และ ทีวีดิจิตทัล โดยรวมจะทบทวน เงื่อนไขและระยะเวลาชำระเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ของทั้งคลื่นที่ประมูลไปแล้ว และที่จะประมูลใหม่ (5G) ให้เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง ไม่เป็นภาระต่อผู้ประกอบการ อาทิ การทบทวนราคาตั้งต้นใหม่จากเดิมที่ อ้างอิงราคาประมูลล่าสุด และซอยย่อยใบอนุญาตตามพื้นที่ใช้ จากเดิมให้แบบครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นต้น
เชื่อว่าการปรับเกณฑ์ของ กสทช. เพราะที่ผ่านมารัฐได้เปรียบผู้ประกอบการมาก และ แนวโน้มปริมาณคลื่นที่จะมีแนวโน้มออกมามากขึ้น 28000 (ว่างอยู่) 3500 (THCOM) 2600 (MCOT ผ่านการร่างหลักเกณฑ์การเรียกคืนคลื่นที่ไม่ใช้จ่ายหรือใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ) และ 700(เปิดเงื่อนไขให้เรียกคืนได้ตลอดเวลา) หลังจากมีการประกาศกฎหมายที่ให้อำนาจ กสทช. เรียกคืนคลื่นที่ไม่ได้ใช้งานหรือใช้งานไม่เต็ม ช่วยให้มีคลื่นที่สามารถนำประมูลในธุรกิจโทรคมนาคม จากเดิมที่ กสทช. เปิดประมูลได้เฉพาะคลื่นครบอายุบริการ หรือ คลื่นที่ไม่มีเจ้าของ เท่านั้น ดีต่อผู้ให้บริการมือถือในระยะยาว เพราะต้นทุนคลื่น ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก จะลดลง เพราะเมื่อคลื่นเดิมครบอายุ และจำเป็นต้องประมูลคลื่นกลับมาให้บริการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการ และ ฐานลูกค้า ยังให้น้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยมี ADVANC(FV@B240) และ DTAC(FV@B60) เป็นตัวเลือก
และ เช่นเดียวกับคลื่น 700 Mhz กสทช จะขอคืนคลื่นจากผู้ให้การด้านทีวีดิจิตทัล เพื่อนำออกมาประมูลให้แก่ ผู้ให้บริการมือถือ/data ซึ่งน่าจะสร้างมูลค่าที่สูงกว่า แต่จะแลกกับการให้คลื่น 470 MHz ที่ใช้ในอนาล็อกเดิมแทน พร้อมกับเสนอลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คือ
1. ขยายเวลาช่วยเหลือ Must Carry ที่จ่ายแต่ละปี 14 ล้านบาทต่อช่อง จากเดิม 2560-2562 เป็นปี 2565
2. ขยายเวลาช่วยเหลือค่าเช่าโครงข่าย (MUX) 50% ของค่าเช่าต่อละปี 43 ล้านบาท ต่อช่องกรณีเป็นช่องธรรมดา แต่ถ้าเป็น ช่อง HD จะสูงกว่านี้
3. ยกเลิกการจ่ายค่าใช้อนุญาตที่เหลือ (สัญญาจ่าย 11 ปี) หลังจากที่จ่ายไปแล้ว 5 ปี (2557-2561) และมีการพักชำระหนี้ 3 ปี คือ 2561-2563 ยกเว้นบางช่องที่จ่ายตามสัญญาแล้วถึงปี 2561 คือ BEC, WORK, True Vision และ ช่อง7 ทำให้ยอดเงินคงค้างเหลือน้อยสุด (ดังตาราง)
หน่วย
ล้านบาท ค่า
ใบอนุญาต จ่ายแล้ว ส่วน
ที่เหลือ ส่วนที่เหลือ
% ตัดจำหน่าย/ปี ลดลง
เดิม ใหม่
BEC 6,471 4,148 2,323 36% 385 150 -61.14%
WORK 2,355 1,960 395 17% 138 94 -32.19%
MONO 2,250 1,296 954 42% 129 34 -73.64%
RS 2,265 1,303 962 42% 135 39 -70.87%
ฝ่ายวิจัยประเมินว่าเป็น sentiment เชิงบวกต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทุกราย เนื่องจากจะช่วยลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายลงจากเดิมมาก (การตัดจำหน่ายใบอนุญาตใช้เวลา 15 ปี ที่ผ่านมาเท่ากับตัดจ่ายไป 4 ปี ที่เหลือจะนำมาเกลี่ยในช่วงที่เหลือ) และยังช่วยให้กระแสเงินสดและผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการแต่ละรายที่ส่วนใหญ่ติดลบและยังขาดทุนให้ดีขึ้น ยกเว้น BEC WORK MONO RS ที่กระแสเงินสด เป็นบวกอยู่แล้วจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว นอกจากธุรกิจทีวีดิจิทัลยังต้องเผชิญกับกระแส Digital Disruption เช่น Social Media แล้ว ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันด้าน Content ที่รุนแรงมากขึ้นของช่วงทีวี กันเอง และ สื่อนอกบ้าน ทำให้เม็ดเงินโฆษณาจะถูกกระจายไปจัดสื่อรูปใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ดังนั้น หากผู้ประกอบการที่จะอยู่รอดต้องเป็นผู้ที่ใช้จุดแข็งตนเอง ปรับตัวและสร้างรายได้รูปแบบใหม่ หรือ ไปร่วมมือกับแพล็ตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น น่าจะยังเป็นผู้ประกอบการที่จะสามารถอยู่รอดได้ เช่น BEC WORK MONO RS
ตลาดหุ้นไทยหยุด…ต่างชาติสลับมาขายหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค
วันอังคารที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค 311 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นไต้หวันยังถูกขายสุทธิ 154 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลือ 4 ประเทศซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ 165 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย 115 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 21 ล้านเหรียญ และไทย 164 ล้านเหรียญ หรือ 5.39 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิสูงสุดในปี 2561) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 238 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 มีมูลค่ารวม 2.37 หมื่นล้านบาท)
ส่วนวานนี้ตลาดหุ้นไทยหยุดทำการ เพราะเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนพรรษา ร.9 แต่ตลาดหุ้นอื่นๆยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมพบว่าต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 568 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และขายสุทธิทุกประเทศ คือ ไต้หวันขายสุทธิ 302 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) เกาหลีใต้ 216 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 8 วัน) และอินโดนีเซีย 49 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) และฟิลิปปินส์ 5 แสนเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
การสลับมาขายหุ้นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเกิดจาก ผลตอบแทนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น สังเกตได้จาก ล่าสุด Bond Yield 2 ปี อยู่ที่ 2.794% เป็นระดับสูงกว่า Bond Yield 5 ปี ที่ 2.78% (ณ วันที่ 4 ธ.ค. 61) ทำให้เกิด Inverted Yield Curve และ สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐผ่านพ้นจุดสูงสุดแล้ว
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
หุ้นเด่น หุ้นเข้า SET50-SET100 ใน 1H62 : WHA, PLANB และ AEONTS
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นักวิเคราะห์เชิงปริมาณ (QA) ของ ASPS ได้ออกรายงานสรุปรายชื่อหุ้นที่คาดจะเข้าคำนวณ SET50, SET100 ที่จะเริ่มใช้ช่วงเดือน ม.ค. – มิ.ย. 2562 เบื้องต้น (การคำนวณครบสมบูรณ์ 1 ธ.ค. 2560 - 30 พ.ย. 2561) รายชื่อหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าและคัดออกจาก SET50, SET100 รอบ 1H62 พบว่าคล้ายกับการนำเสนอในครั้งก่อน โดยมีหุ้นที่มีโอกาสเข้า/ออก SET50 3 คู่ และเข้า/ออก SET100 อีก 10 คู่ (ดังตารางด้านล่าง) อย่างไรก็ตามรายชื่อหุ้นชุดนี้ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด ผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ
คาดการณ์หุ้นที่จะถูกคัดเลือกเข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 1H62
หมายเหตุ: หุ้นที่ถูกคัดเข้า-ออก SET50 และ SET100 ดังกล่าว เรียงลำดับรายชื่อหุ้นตามโอกาสที่จะถูกคัดเข้า–ออก จากมากไปน้อย
ที่มา : ฝ่ายวิจัย ASPS
ด้วยการใช้วิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นดังกล่าว พอสรุปได้ว่า ควรซื้อก่อนเข้าคำนวณจริง ราว 1 เดือน (วันนี้) และขายทำกำไรก่อนเข้าคำนวณ 1 วัน (สิ้นปี 2561) ดังนี้
หุ้นที่จะถูกเข้าคำนวณ SET50 คาดว่าให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 5.8% (ราว 1 เดือน) และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 73% ก่อนที่หุ้นจะค่อยๆปรับตัวลดลงหลังมีผลบังคับใช้
หุ้นที่ถูกคัดเข้า SET100 ส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าหุ้นที่จะเข้าคำนวณดัชนี SET50 คือให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 0.6% และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวก 50%
ตรงกันข้ามหุ้นที่ถูกคัดออก SET50 หรือ SET100 ราคาหุ้นมักจะปรับตัวลดลงก่อนวันบังคับใช้ แต่หลังจากนั้นราคาหุ้นจะค่อยๆฟื้นกลับขึ้นมา
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อหุ้นพื้นฐานแกร่งที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณ SET50 และ SET100 ก่อนวันเข้าคำนวณราว 1 เดือน และขายทำกำไรช่วงสิ้นปี ดังนี้
หุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี SET50 ชื่นชอบ WHA([email protected]) คาดว่ากำไรจะ Peak ที่สุดใน 4Q61 จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินคลังสินค้าเข้ากอง REIT กว่า 4.9 พันล้านบาท รวมถึง Backlog รอรับรู้การโอนที่ดินกว่า1.5 พันล้านบาท และยังได้รับปัจจัยหนุนจากการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในพื้นที่ EEC
หุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี SET100 ชื่นชอบ AEONTS(FV@B222) เข้าสู่ช่วง High season สินเชื่อบุคคลในช่วงปลายปี และยิ่งเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง การใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้น และ PLANB([email protected] สื่อนอกบ้านที่เติบโตมากสุดในบรรดาสื่อทุกประเทศ และโดดเด่นปลายปีเช่นกัน
หุ้นที่เข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 คือ GULF หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้น สอดคล้องกับสถิติในอดีต หากหุ้นเข้าคำนวณทั้ง SET50-SET100 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 80% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7% หากซื้อก่อนวันเข้าคำนวณราว 1 เดือน และขายทำกำไรในวันที่เข้าคำนวณ
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์