ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้น +6.36 จุด (+0.39%) ปิดที่ 1,640 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.1 หมื่นล้านบาท จากความชัดเจนกรอบการเลือกตั้งรวมถึงเตรียมปลดล็อคกิจกรรมทางการเมืองในช่วงกลางเดือนธ.ค. ประกอบกับความคาดหวังผลการเจรจานอกรอบการประชุม G20 ระหว่างสหรัฐ-จีนที่จะเป็นโทนบวก ทั้งนี้เป็นแรงซื้อกลุ่ม TRANS , CONMAT และ ENERG สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องอีก 837 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX 1,619 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,390ล้านบาท

          แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: มุมมองเป็นบวก คาดดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,650 จุด+/- ก่อนจะสลับอ่อนตัว โดยภาวะตลาดได้แรงหนุนจากคำแถลงประธานเฟดที่ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้ระดับเป็นกลาง ซึ่งส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์ และ US Bond yield 10 ปี รวมถึง VIX index อ่อนตัวลงซึ่งเป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก นอกจากนี้ความคาดหวังการเจรจาเชิงบวกเพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในการประชุมนอกรอบ G20 วันที่ 30 พ.ย. - 1 ธ.ค. จะช่วยหนุนต่อทิศทางดัชนีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงอีกครั้งจากสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 10 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล รวมถึงความไม่แน่นอนการประชุมโอเปกในการปรับลดกำลังการผลิตลงหลังซาอุฯและไนจีเรียไม่ยืนยันการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหม่ซึ่งเป็นตัวถ่วงต่อกลุ่มพลังงานรวมถึงดัชนีให้สลับอ่อนตัวลง

 

          - กลุ่มสายการบิน (AAV, THAI, BA)  ได้อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงและครม.ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวและผ่อนปรนวีซ่าเข้าประเทศ 

          - กลุ่มไฟแนนท์ (MTC, SAWAD) คาดงบ 4Q18 เติบโตต่อเนื่องจากการขยายสินเชื่อและสาขาเพิ่มขึ้น

          - กลุ่มรับเหมา (STEC, SEAFCO) นิคมฯ (AMATA) กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, ROBINS, CPALL) รับผลบวกการเลือกตั้งที่ชัดเจน 

          - หุ้นเข้าคำนวณ MSCI Global Standard (GULF, MTC)  Small Cap (CBG, MBK, PRINC) มีผล 30 พ.ย.

 

          หุ้นแนะนำวันนี้: SAWAD (ปิด 49.25 ซื้อ/เป้า 55) ผลประกอบการ 3Q18 ออกมาโดดเด่นมาก และคาด 4Q18 จะยังดีต่อเนื่องจากแรงหนุนของยอดสินเชื่อที่ยังขยายตัว และ NPLs ลดลง ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นมอง SAWAD ได้รับผลกระทบน้อยสุดเพราะมีเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากบัญชีเงินฝากของ BFIT ทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่น, KTB (20.40 ซื้อ/เป้า 23) หนึ่งใน top pick กลุ่มธนาคารเนื่องจากคาดว่าจะมีผลกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีนี้และปีหน้าประมาณ 30%yoy และ 11%yoy ตามลำดับ เป็นผลจากสินเชื่อภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นและได้ผลบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น , EPG (ปิด 7.45 ซื้อ/เป้า 9.0) ราคาหุ้นลดลงกว่า 20% ในช่วง 2 เดือน แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน อีกทั้งได้ผลอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าและราคาน้ำมันดิบที่ลดลงซึ่งหนุนต่อแนวโน้มผลประกอบการ 3Q19 

          Top picks ปีนี้ : ANAN, BBL, CPALL, MTC, ROBINS และ SPALI 

          KSS report วันนี้ : KTB (ปิด 20.4 ซื้อ/เป้า 23), ICT sector (Top pick : ADVANC), Thailand strategy 

 

          (+) ดาวโจนส์บวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ปิดพุ่ง 617.70 จุด หลังปธ.เฟดส่งสัญญาณไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย:นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลางซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้กระตุ้นหรือชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากตัวเลขประมาณการณ์ GDP ไตรมาส 3 ครั้งที่2 ของสหรัฐขยายตัว 3.5% โดยแม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 4.2% แต่ยังเป็นระดับที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับมุมมองเชิงบวกต่อการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนในการประชุมนอกรอบ G20 ช่วง 30 พ.ย. - 1 ธ.ค. จะช่วยยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก 

          (-) น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.27 หลังสต็อกน้ำมันดิบพุ่ง,ตลาดไม่มั่นใจผลประชุมโอเปก : สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 769,000 บาร์เรล รวมถึงแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการประชุมกลุ่มโอเปกในวันที่ 6 ธ.ค. หลังซาอุดีอาระเบียส่งสัญญาณว่าจะไม่ดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวในการปรับลดกำลังการผลิต ขณะที่ไนจีเรียก็ได้ปฏิเสธที่จะให้การยืนยันการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหม่ 

          (-)ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน : โดยเฟดระบุว่าความตึงเครียดทางการค้า ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการก่อหนี้ของภาคเอกชนที่มีงบดุลบัญชีอ่อนแอจะทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง