- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 29 November 2018 15:51
- Hits: 7140
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดผ่อนคลายหลัง Fed ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับ ASPS คาด Fed น่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยกลางปีหน้า แต่ราคาน้ำมันดิบโลกที่อ่อนตัวต่อเนื่อง สะท้อนเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันโลกชะลอตัว ทำให้เชื่อว่าดัชนีจะฟื้นตัวจำกัด มีแนวต้าน 1650-1660 จุด ชอบหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง ทั้งวัสดุก่อสร้าง (TASCO, SCC, DCC) ปิโตรเคมี (IRPC, SCC, TOP) และหุ้น Domestic ที่ยังเติบโตตามการลงทุน สาธารณูปโภค/EEC เลือก SCC(FV@B515), TASCO(FV@B18) และเพิ่ม DCC([email protected]) เป็น Top picks
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ ….SET Index ปรับขึ้นติดต่อกัน 4 วัน
วานนี้ SET Index แกว่งตัวแดนบวก ปิดตลาดที่ระดับ 1640.63 จุด เพิ่มขึ้น 6.36 จุด (+0.39%) มูลค่าการซื้อขาย 3.18 หมื่นล้านบาท แม้ดัชนีฯ จะปรับตัวขึ้น 4 วันต่อเนื่องกว่า 36 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายโดยรวมยังเบาบาง และมีแรงซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง หนุน Spread กลุ่มปิโตรเคมีที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิต เช่น SCC, IRPC, TOP, ESSO และหุ้นวัสดุก่อสร้าง นำโดย TASCO (+4.6%) และ SCC (+1.82%) ขณะที่กลุ่ม ICT มี ADVANC ยังฟื้นตัวมากกว่า กลุ่ม ตรงข้าม TRUE ลดลง 2.5%
แนวโน้มดัชนีวันนี้คาดยังฟื้นตัวต่อโดยมีแนวต้านบริเวณ 1650-1660 จุด โดยได้รับ sentiment เชิงบวก หลังสหรัฐส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2562 ไม่รวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา แต่ข้อสรุป รอบสุดท้ายว่า สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ในการประชุม G-20 วันที่ 30 พ.ย. - 1 ธ.ค. นี้หรือไม่ถือว่ายังกดดันตลาด แต่น่าจะสิ้นสุดลงหลังจากนี้ ส่วนราคาน้ำมันที่ต่ำกว่า 60 เหรียญฯ ถือเอื้อต่อประเทศที่ใช้น้ำมัน รวมถึงอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ เช่น ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้างและสายการบิน เป็นต้น
Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย บวกต่อตลาดหุ้นช่วงสั้น
วานนี้มีการกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน Fed นายเจอโรม พาวเวล ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก โดยข้อสรุป คือ มีมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยฯผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา โดยระบุว่าดอกเบี้ยของสหรัฐเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง (Neutral rate)ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเป็นการส่งสัญญาณว่า Fed อาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า (จากแผนเดิมที่คาดว่าจะขึ้นราว 3 ครั้งในปี 2562 และอีก 2 ครั้งในปี 2563) ซึ่งสอดคล้องกับ ASPS ที่ประเมินว่าน่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยกลางปี 2562 แต่การประชุมรอบสุดท้ายของปี รอบ ธ.ค. ตลาดคาดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ด้วยโอกาส 79.6%
โดยรวมทำให้ตลาดหุ้นโลกคลายความกังวลช่วงสั้น ดีต่อตลาดหุ้นโลก และหนุนให้ Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าในระยะสั้น วานนี้อ่อนค่าราว 0.55% (แข็งค่า 5.08%ytd) ส่งผลให้ค่าเงินสกุลอื่นแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ เกือบทุกประเทศ และส่งผลให้ Bond Yiled แกว่งตัวลง โดย Bond Yiled 10 ปีของสหรัฐ วานนี้ ปรับลงจาก 3.061% เป็น 3.048% จึงคาดว่าเงินทุนที่ไหลเข้าไปพักตัวอยู่ในตราสารหนี้น่าจะเริ่มลดลง ซึ่งจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้น
ราคาน้ำมันยังลง สต็อกเพิ่มต่อเนื่อง และ Demand ที่ลดเร็วกว่า Supply
Dollar index ที่อ่อนค่าดังกล่าว มีน้ำหนักน้อยกว่า โดยราคาน้ำมันดิบโลกยังคงปรับลงต่อหลักๆมาจากปัญหา Supply คือ สำนักงานด้านสารสนเทศการพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ล่าสุด ยังเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 10 สัปดาห์ที่ 3.577 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาด 7.69 แสนบาร์เรล เพราะเป็นช่วงโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง และ Supply จากสหรัฐยังคงเพิ่ม สามารถทดแทนนำเข้า เกือบทั้งหมด (ล่าสุด ผลิต 11.7 ล้านบาร์เรล/วัน สูงสุดในประวัติศาสตร์) และ Demand น้ำมันโลกที่ชะลอลง จากผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
โดยรวมราคาน้ำมันดิบโลกยังแกว่งตัวลง ( 30.5% นับตั้งแต่ 3 ต.ค.61 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปี) ล่าสุด ราคาน้ำมันดูไบ อยู่ที่ 58.3 เหรียญฯ ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS ปี 2562 ที่กำหนดไว้ 65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ปรับลงทุกๆ 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะทำให้กำไรปี 2562 และ 2563 ของ PTTEP ลดลง 13.3% และ 15.6% จากเดิม ส่วน PTT ลดลง 9.7% และ 7.0% จากเดิม จึงยังแนะนำ "switch" PTTEP (FV@B148) และ PTT (FV@B56)
ตรงข้ามหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันปรับลง คือ ปิโตรเคมี ผู้ที่ได้ประโยชน์มากสุดคือ SCC(FV@B515), IRPC([email protected])และ TOP(FV@B88) ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ TASCO(FV@B18) น่าจะได้ประโยชน์มากสุด และกลุ่มสายการบิน AAV([email protected]) ,BA([email protected]) และ THAI([email protected]) แต่ภาวะการแข่งขันในธุรกิจที่สูงขึ้น น่าจะหักล้างประเด็นบวกจากราคาน้ำมันขาลง
SISB ถูกรับน้องเข้าตลาดวันแรก และยัง P/E สูง
SISB เป็น Holding Company ให้บริการด้านการศึกษาโรงเรียนนานาชาติกว่า 17 ปี ถือหุ้น โรงเรียนนานาชาติอีก 5 แห่ง โดย 4 แห่งแรกถือหุ้น 100% ณ 30 ก.ย. 61 มีนักเรียนรวม 2,191 คน (Seat Utilization 57% ของกำลังให้บริการทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2560 ที่มีจำนวน 1,977 และอีก 1 แห่ง ที่เชียงใหม่ถือหุ้น 50% (อีก 50% ถือหุ้นโดยนักธุรกิจใน จ. เชียงใหม่) ปัจจุบันมีนักเรียน 143 คน (Seat Utilization 46%)
ภาพรวมโรงเรียนนานาชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6% - 8% ต่อปี และถือเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงด้านรายได้ (Recurring Income) และ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) ผลกำไร 9M61 เติบโต 8.6 เท่า YoY อยู่ที่ 71.5 ล้านบาท (คิดเป็น 79% ของประมาณการทั้งปี) อานิสงค์จากการประหยัดต่อขนาด เพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อาทิ ค่าเสื่อมราคา เงินเดือนอาจารย์ หนุนกำไรโตเด่นกว่ารายได้ที่มีอัตราการเติบโต 25% yoy
ประเมินมูลค่าอิงวิธี DCF กำหนด WACC ที่ 11.4% และให้ Terminal Growth Rate ที่ 1% จะอยู่ที่ 7.3 บาท ซึ่งคิดเทียบกับ PER สูง 44 เท่า ซึ่งอยู่ค่ากลาง เมื่อเทียบกับ โรงเรียนเอกชนในต่างประเทศ (P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ระดับ 26 - 72 เท่า) แต่ด้วย CFO แข็งแกร่ง จึง นำอัตราส่วน P/CFO ของ SISB อยู่ที่ 17 เท่า ใกล้เคียงหุ้นโรงเรียนเอกชนในต่างประเทศ ที่มี ค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง 12 - 26 เท่า
Fed อาจไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย หนุน Fund Flow ไหลกลับตลาดหุ้นระยะสั้น
วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่า 122 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 126 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 32 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 2 ประเทศ ต่างชาติขายสุทธิ คือ อินโดนีเซีย 11 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 25 ล้านเหรียญ หรือ 837 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7 มีมูลค่ารวม 8.72 พันล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิกว่า 2.07 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 มีมูลค่ารวม 1.12 หมื่นล้านบาท)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield ที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง หนุนให้ต่างชาติซื้อสุทธิสะสมตราสารหนี้ไทยตั้งแต่ต้นปีมาแล้วกว่า 1.48 แสนล้านบาท (ytd) อย่างไรก็ตามในคืนที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า Fed อาจไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย น่าจะทำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น สะท้อนจากดัชนีดาวโจนส์ในคืนที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 669 จุด หรือ 2.5% โดยเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของปีนี้ และหากการประชุม G20 เป็นไปด้วยดี น่าจะสร้าง Momentum ให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
SET แกว่งตัว ยังเน้นเลือกหุ้น Domestic/ได้ประโยชน์น้ำมันขาลง
เชื่อว่าหลังจากนี้ แรงกดดันตลาดฯ จะเริ่มลดลง โดยเหลืออีก 1 ประเด็น ที่ยังมีน้ำหนักอยู่ คือ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ในการประชุม G-20 ปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าสหรัฐจะยังคงเดินหน้าเก็บภาษีจากจีนตามเดิม แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ตลาดน่าจะสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปมากพอสมควร
ขณะที่ประเด็นหนุนตลาดฯ เริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่น่าจะช้าลง หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดลง นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยบวกจากการเมืองที่มุ่งสู่การเลือกตั้งอย่างชัดเจน โดยคาดว่า ภายหลังจากที่ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้วันที่ 11 ธ.ค. แล้ว น่าจะมีการร่าง พ.ร.ฎ. ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. และมีผลบังคับใช้ได้ในวันที่ 26 ธ.ค. เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. 2562 น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาอีกครั้ง
นอกจากนี้ ระดับ Expected P/E ปี 2562 ของตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันอยู่ที่ 14.6 เท่า แม้จะใกล้เคียงตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการเกินดุลทางการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก และทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง น่าจะเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติอีกประการหนึ่ง อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยในปีนี้ไปแล้วถึงกว่า 2.87 แสนล้านบาท สูงสุดในภูมิภาครองจากไต้หวันและเกาหลีใต้ จึงเชื่อว่ากระแส Fund Flow น่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงปีหน้า
กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นไปที่หุ้น Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ ร่วมกับหุ้นปันผลสูง Upside สูง ร่วมกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง ดังตารางด้านล่าง
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์