- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 November 2018 23:30
- Hits: 5763
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“คาด SET Sideways เฟดคงอัตราดอกเบี้ย”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาด +6.40 จุด ที่ 1681.73 จุด ถือว่าปรับขึ้นแต่ปิดใกล้เคียงจุดต่ำสุดของวัน หลังช่วงแรกขึ้นไปทำยอดสูงสุดที่ 1688.9 จุดทีเดียว มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 49.2 พันล้านบาท SET ตอบรับในทางบวก จากบรรยากาศผลการเลือกตั้งสหรัฐที่ออกมาตรงใจ แต่ช่วงบ่ายมีแรงขายทำกำไร หลังรองนายกฯประกาศไทม์ไลน์เลือกตั้ง ซึ่งเก็งกำไรมาก่อนหน้าแล้ว หุ้นกลุ่มหลักกลับมาฟื้นตัวโดยเฉพาะ IVL และ LPN ที่ประกาศกำไร 3Q61 ออกมาดีกว่าคาด แต่ตรงข้ามกับ PTGด้านผู้ขายสุทธิเป็น นักลงทุนทั่วไป 5.1 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายเล็กน้อย ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 3.5 พันล้านบาท และต่างชาติ 1.6 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสจะเคลื่อนไหวแบบ sideways ออกด้านข้าง เพราะไม่มีปัจจัยใหม่ๆ ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1650-1710 จุดเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ย และมีโอกาสสูงไปปรับขึ้น ธ.ค.61 ตามคาด ดาวโจนส์ปรับขึ้นเล็กน้อย แต่ S&P และ Nasdaq กลับปรับลง ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งแคบๆทั้งบวกและลบ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +6 จุด ณ 8:00 น. บอนด์ยิลด์ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 3.2304% นักวิเคราะห์กลับมากังวลเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอลง สำหรับราคาน้ำมันปรับลงต่อเนื่อง กังวลภาวะล้นตลาด หลังหลายประเทศผลิตเพิ่มชดเชยอิหร่าน ด้านปัจจัยในประเทศ การเมืองเรื่องเลือกตั้งมีไทม์ไลน์ออกมา แต่เป็นไปตามคาด ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น แรงขายจากต่างชาติ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น รอดู ต.ค.61นักท่องเที่ยวจีนมาไทยน้อยลง ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่าซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่ยังกดดัน
Update หุ้นเด่น: AP – มีการเปิดขายโครงการใหม่เป็นจำนวนมากใน 2H61 ก่อนหน้ามีการปรับเพิ่มเป้ายอดขาย (Presales) สำหรับปี 61 อีก 19% เป็น 39.8 พันล้านบาทคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้เป็น 19% คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานที่ 10.50 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 9.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 27% ผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้ที่อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 4.2% การที่ราคาหุ้นปรับลงมามาก เพราะกังวลเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ของ ธปท. แต่เราเห็นว่าราคาหุ้นปรับลงมามากเกินไป
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1710 แนวรับ 1660,1650 แนวตัดขาดทุน คือ ต่ำกว่า 1645 จุด
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นเล็กน้อย เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ย
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,191.22 จุด เพิ่มขึ้น 10.92 จุด หรือ +0.04% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่2,806.83 จุด ลดลง 7.06 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,530.88 จุด ลดลง 39.87 จุด หรือ -0.53%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด และได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบWTI ดิ่งลงติดต่อกันเป็นวันที่ 9 เมื่อคืนนี้
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง วิตกสต็อกน้ำมันดิบล้นตลาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.00 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 60.67ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 1.42 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 70.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 9 เมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงสหรัฐ รัสเซีย และซาอุดิอาระเบียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมระหว่างสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรของกลุ่มโอเปกในช่วงสุดสัปดาห์นี้
• ทองคำ : ปรับลง ดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.60 ดอลลาร์ หรือ 0.29% ปิดที่1,225.10 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม
-/• เฟดคงอัตราดอกเบี้ย และมีโอกาสไปขึ้น ธ.ค.61 ตามคาด
# คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 ซึ่งเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 8 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติในเดือนธ.ค.2558
# นอกจากนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.,มิ.ย.และก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3ครั้ง และอีก 1 ครั้งในปี 2563
# นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสมากกว่า 90% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยจากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
-นักวิเคราะห์กลับมากังวลเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลง
# นักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งรวมถึงควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่าแถลงการณ์ของเฟดซึ่งระบุว่า การลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงนั้น ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต พร้อมระบุว่าสาเหตุที่บริษัทเอกชนชะลอการลงทุนนั้น มาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
• ตัวเลขยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลงตามคาด
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
• รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศต่อไป
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
+ การเมืองไทย: รองนายกฯชี้แจงขั้นตอนการไปสู่การเลือกตั้ง
# วานนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหม่ว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ครม.รับทราบปฏิทินการทำงานเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยเตรียมประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งส.ส.ใน ธ.ค.61 คาดได้นายกฯ-ครม.ใหม่กลางปี 62
+/- อุตสาหกรรมการบิน: ปี 61 ดีขึ้นกว่าปี 60 แต่ติดปัญหาต้นทุนเชื้อเพลิงสูง
# แนวโน้มอุตสาหกรรมการบินของไทยในปี 2561 นี้ มีแนวโน้มขยายตัวจากปี 2560 จากการที่ประเทศไทยสามารถปลดธงแดงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี ก่อน นอกจากนี้ ความคืบหน้าโครงการก่อตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(MRO) เพื่อเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานที่ทันสมัยระดับโลก และเป็ นแรงขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในประเทศไทยให้ก้าวไปไกลยิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายไทยแลนด์4.0ของรัฐบาลไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและบริการโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศไทยให้ไปสู่ระดับโลก
# แต่กลับคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตจะต่ำกว่าปี 2560 เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้นโดยเฉพาะราคานํ้ามันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปี ก่อน โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันเครื่องบินเฉลี่ยในปี 2561 จะอยู่ที่ประมาณ 87.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
+ อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า: ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่า FT
# เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้เรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) สำหรับงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.62จำนวน -11.60 สตางค์/หน่วย เมื่อเทียบกับค่า Ft ที่เรียกเก็บในปัจจุบัน -15.90 สตางค์/หน่วย ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน4.30 สตางค์/หน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง
+ อุตสาหกรรมยานยนต์: คาดไทยกลับได้ประโยชน์จากสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
# นายนิค มาร์โร นักวิเคราะห์จาก The Economist Intelligence Unit (EIU) กล่าวว่า ถึงแม้การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย แต่ก็ยังคงมีบางประเทศได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นายมาร์โรกล่าวว่า ไทย มาเลเซีย และเวียดนามจะได้รับประโยชน์ในระยะยาวในอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
-สินเชื่อ SME ปีนี้มีโอกาสไม่บรรลุเป้าหมาย
# ผู้บริหารสูงสุด SME Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) คาดสินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้ไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 7%โดยคาดว่าจะทำได้เพียง 3% ซึ่ง 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโตไม่ถึง 1% โดยในไตรมาส 4/61 ธนาคารจะเน้นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งลูกค้ามีความต้องการใช้เงินทุนสูง
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]