- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 November 2018 16:07
- Hits: 4890
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“SET แนวโน้มดีขึ้น ดาวโจนส์พุ่งแรง รับข่าวผลเลือกตั้ง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : KCE (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาดพลิก +6.00 จุด ที่ 1675.33 จุด ถือว่าปรับขึ้นใกล้เคียงจุดสูงสุดของวัน หลังช่วงแรกลงไปทำยอดต่ำสุดที่ 1656.51 จุดมูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 50.6 พันล้านบาท ผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯเบื้องต้น เดโมแครตได้คะแนนสูงสำหรับสภาล่าง และรีพับลิกันได้คะแนนสูงสำหรับสภาสูง มีการถ่วงดุลอำนาจกัน เป็นไปตามคาด แต่ปัจจัยลบต่างประเทศเดิมๆยังกดดันคือ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง บอนด์ยิลด์ 10 ปี ปรับขึ้น โดยเฟดอยู่ในช่วงประชุมรอฟังถ้อยแถลงเกิดความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้าจีนในเชิงบวกหรือไม่ หุ้นกลุ่มหลักกลับมาฟื้นตัวโดยเฉพาะ BEAUTY,ADVANC,PTTและEA ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวเป็น สถาบัน 2.6พันล้านบาท และ ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ พอร์ตโบรกเกอร์ 1.4 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไป 1.1 พันล้านบาท ต่างชาติ 0.2 พันล้านบาท และ
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET คาดว่าจะตอบรับในทางบวก จากบรรยากาศผลการเลือกตั้งสหรัฐที่ออกมาตรงใจ มีการคานอำนาจกันระหว่าง 2 พรรค และทำให้สภาล่างมีโอกาสต้านนโยบายทรัมป์ที่รุนแรง เช่น กรณีสงครามการค้า ทรัมป์พร้อมทำงานกับเดโมแครต ส่วนผลการเลือกตั้งสหรัฐฯอย่างเป็นทางการจะทราบผลชัดเจนวันนี้ ดาวโจนส์ทะยานถึง 545 จุด ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวกถ้วนหน้า ดาวโจนส์ล่วงหน้า +3 จุด ณ 7:32 น. ดัชนีความกลัว (VIX) ลดลงแรง ปัจจัยที่รอดูคือ ถ้อยแถลงเฟดวันนี้ซึ่งประชุมวันสุดท้าย โดยคาดว่าจะยังไม่ขึ้นครั้งนี้ แต่รอรอบ ธ.ค.61 มากกว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี เพิ่มขึ้นในเกณฑ์สูง สำหรับราคาน้ำมันปรับลง กลายเป็นมาตรการแซงชันอิหร่านอ่อนกว่าคาด มีการผ่อนผันให้8 ประเทศยังนำเข้าจากอิหร่านได้ ด้านปัจจัยในประเทศจับตาการผ่อนเกณฑ์หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น แรงขายจากต่างชาติ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น รอดู ต.ค.61 ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหาEmerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECBทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1650-1710 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SDและ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่กดดันหนัก
Update หุ้นเด่น: BTS –คาดว่า 2Q61-62 (สื้นสุด ก.ย.61) จะได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า เพราะไตรมาส 1Q61-62 ก่อนหน้ามีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินลงทุนประมาณ 140ล้านบาท แต่คาดว่าไตรมาสนี้จะพลิกเป็นกำไร อีกทั้งรายได้ให้บริการรับเหมาติดตั้ง-ก่อสร้างและจัดหารถไฟฟ้า (E&M) เป็นเพียง 993 ล้านบาท แต่คาดการณ์รายได้รวมตลอดปี 61-62 สูงเป็น 7 พันล้านบาท และรายได้จากการก่อสร้างสายสีชมพู-เหลืองปีนี้ คาดว่ามากเป็น 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่บันทึกในงวด 1Q61-62 แต่อย่างใด แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 11.00 บาท ด้วยวิธี SOP กำลังเจรจาเรื่องการบริหารสัมปทานส่วนขยายสายสีเขียวกับกทม.และมีโอกาสได้ขยายเวลาเส้นปัจจุบัน แต่เก็บค่าโดยสารต่ำและรับหนี้กทม.แทนการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1710 แนวรับ 1660,1650 แนวตัดขาดทุน คือ ต่ำกว่า 1645 จุด
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ทะยาน รับข่าวผลการเลือกตั้งกลางเทอม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,180.30 จุด พุ่งขึ้น 545.29 จุด หรือ +2.13% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,813.89 จุด เพิ่มขึ้น 58.44 จุด หรือ +2.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,570.75 จุด เพิ่มขึ้น 194.79 จุด หรือ +2.64%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) หลังจากผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณความพร้อมที่จะร่วมมือกับพรรคเดโมแครตในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรมทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับมุมมองที่ว่า การที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะสามารถขัดขวางนโยบายกีดกันการค้าของปธน.ทรัมป์
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง วิตกสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 54 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 61.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 6 เซนต์ หรือประมาณ 0.09% ปิดที่ 72.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมระหว่างสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
• ทองคำ : ปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.40 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่1228.70 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อคืนนี้ (7 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
+ ตลาดตอบรับทางบวกผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ
# ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยพรรคเดโมแครตสามารถกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ขณะที่พรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา
# ปธน.ทรัมป์ได้จัดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ โดยกล่าวว่า เขาจะสามารถทำงานร่วมกับพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสในประเด็นต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขของชาวอเมริกัน โดยจะร่วมมือกันนับตั้งแต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ, โครงสร้างพื้นฐาน, การค้า และการลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ ทั้งนี้ โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้นระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งที่ผ่านมา สมาชิกของทั้งสองพรรคต่างเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสะพาน, ถนน และสนามบิน
-/+ รอถ้อยแถลงผลประชุมเฟด
# นักลงทุนจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
• รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศต่อไป
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
+ การเมืองไทย: วันนี้มีชี้แจงขั้นตอนการไปสู่การเลือกตั้ง
# นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะแถลงชี้แจงช่วงเวลาและขั้นตอนไปสู่การเลือกตั้ง ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายในวันนี้ (Aspen)
+ ความคืบหน้าการเปิดประมูลคลื่นความถี่ ประมาณ มี.ค.-เม.ย.62
# เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คาดว่าการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.62 โดยจะนำคลื่นย่าน 1800 เมกกะเฮิรตซ์ , 2600 เมกกะเฮิรตซ์, 3400 -3500 เมกกะเฮิรตซ์ , 26- 28 กิกะเฮิรตซ์ มาประมูล (Aspen)
• ตลาดหลักทรัพย์สรุปดัชนีฯ ต.ค.ลดลงตามทิศทางทั่วโลก แต่ในอัตราที่น้อยกว่า
# กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคม 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงไปในทิศทางของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก จากความกังวลของผู้ลงทุนในเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และนำไปสู่ความกังวลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2560 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย ทั้งนี้ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ประกอบกับ ผลประกอบการในไตรมาส 3/2561 ของกลุ่มธนาคารเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Aspen)
•/- SYNYEC: ทริสเรทติ้ง คงเครดิตองค์กรของ ที่ "BBB" แนวโน้ม "Stable"
# แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทเอาไว้ได้ อีกทั้งจะยังรักษาความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินให้ใกล้เคียงกับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าไม่น่าจะทำให้สภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงและระดับการก่อหนี้ปรับตัวสูงอย่างมีนัยสำคัญ (Aspen)
# ผลกระทบ: ราคาหุ้นปรับลงมาลึก จนมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐาน ที่ 4.14 บาทอยู่ 16% แต่ยังไม่แนะนำให้ซื้อเพราะแนวโน้มกำไรหลัก 3Q61 ไม่สดใสต่อเนื่อง ปรับลง 56% y-o-y ที่ 123 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ชะลอจากงานก่อสร้างส่วนใต้ดิน แม้มีงานก่อสร้างในมือมาก อัตรากำไรขั้นต้นทำได้น้อยลง เพราะสต็อกเหล็กถูกหมดลง และการแข่งขันรุนแรงขึ้น คำแนะนำล่าสุดคือ เต็มมูลค่า (FV) คาดกำไรปีนี้และปีหน้า -40%/+4% y-o-y ธุรกิจเช่าอ่อนลงจากลูกค้าจีนที่มาไทยลดลง รอดูงบการเงิน 3Q61 ที่จะออกมา เพื่อปรับประมาณการและราคาพื้นฐานอีกครั้ง
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]