ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นทั่วโลกมีบรรยากาศที่สดใสมากขึ้น แรงซื้อกลับสู่ตลาดหุ้น หลังจากการรีบาวด์กลับของตลาดหุ้นไทยวานนี้ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้น 1.63%-2.95% อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงต่อเล็กน้อยมาที่ 3.10% ดังนั้นเราเชื่อว่าแรงขายในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ เกิดจาก Asset Allocation จากการที่ Earnings Yield Gap หรือผลตอบแทนตลาดหุ้นหักด้วยผลตอบแทนในตลาดพันธบัตร มีช่วงห่างต่ำกว่า 4% แต่เมื่อแตะระดับ 4.0%-4.5% ซึ่งระดับดัชนีอยู่ราว 1,611 จุดหรือต่ำกว่า เงินก็พร้อมจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้น โดยไหลเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 ได้ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก วันนี้คาดว่าตลาดยังมี Momentum ที่จะฟื้นตัวต่อได้ คาดการณ์กรอบดัชนี 1,620-1,666 จุด หุ้นแนะนำ หุ้นกลุ่มไฟฟ้า ได้แก่ GPSC, BGRIM, EA, SSP และหุ้นในกลุ่มพลังงาน แนะนำ PTTEP, และ TOP หุ้นขนาดกลางและเล็กที่ปรับตัวลงมากขณะที่กำไรยังมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วง 2H61 เช่น TKN, JKN, AP, HANA มีความน่าสนใจ หุ้นแนะนำวันนี้ เลือก AP, PTTEP, TKN, HANA

Stock     Comment

AP         Pick of the day

PTTEP    (ปิด 137.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 170 บาท) คาดผลประกอบการไตรมาส 4/61 จะสดใสกว่าทุกไตรมาสของปี เนื่องจากปริมาณขายและราคาขายก๊าซและปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น จากการที่ PTTEP เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแหล่งบงกชเพิ่มอีก 22.22% ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น และปรับราคาขายก๊าซเพิ่มขึ้นในเดือน ต.ค.ของทุกปี 

TKN      (ปิด 12.40 บาท; ซื้อ; AWS TP 18.30 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/61 และ 4/61 ยังคงดีในระดับ 170-190 ล้านบาทต่อไตรมาส แม้ว่าจะได้รับ Sentiment เชิงลบ จากยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยลดลงต่อเนื่อง 4 เดือนแล้ว แต่คาดว่าการขายของ TKN ยังไม่ได้ถูกกระทบมากนัก เนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นอีกทั้งต้นทุนสาหร่ายปรับตัวลดลงในช่วง 2H61 ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงกว่า 30% เป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อ 

HANA     (ปิด 35.75 บาท; NR; IAA Consensus 45.00 บาท) คาดว่ากำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะกลับมาเติบโตดีตามอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก ที่มุ่งสู่การเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น

หุ้นเด่นวันนี้ : AP (ปิด 8.35 บาท; BUY; AWS TP 10.00 บาท)

เราคาดการณ์กำไรสุทธิใน 3Q61 ที่ 928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.8% YoY แต่ลดลง 21.4% QoQ เนื่องจากมีการโอนโครงการ JVs ลดลงอย่างมาก ในขณะที่การโอนโครงการของ AP ยังคงสูงขึ้น QoQ โดยรายได้หลักยังคงมาจากการโอนโครงการในแนวราบ ทั้งนี้ บริษัทปรับเป้า Presales เพิ่มเนื่องจาก Momentum sale ยังคงแข็งแกร่งอยู่ โดยมีแรงหนุนจากยอดขายของโครงการในแนวราบปัจจุบันรวมถึงโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวใน 4Q61 เราคงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อ้างอิง PER 8.3 เท่า จากกำไรสุทธิในปี 2561

Price Pattern ของ AP ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น จากการเกิดทั้ง Monthly Buy Signal แต่ในระยะสั้นและระยะกลางยังเกิดทั้ง Daily & Weekly Sell Signal ทั้งนี้หาก Price Pattern ของ AP สามารถปิดตลาดในวันนี้ได้เหนือ 8.50 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิดความแข็งแกร่งทั้ง Daily & Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ AP มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 8.75 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 8.95 บาท ตามลำดับ (Resistance: 8.55, 8.75, 9.15; Support: 8.20, 8.00, 7.60)

กบข.ตั้งกองทุน EPG-Focused Portfolio มูลค่า 1 พันล้านบาท ล่าสุดทาง กบข. ได้จัดตั้ง EPGFocused Portfolio มูลค่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเข้าลงทุนในหุ้นไทยในช่วงสิ้นเดือน ต.ค. นี้ โดยจะเน้นการลงทุนหุ้น 33 กิจการที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก EPG ของกบข. เช่น PTT, AOT, ADVANC, PTTEP, KBANK, SCC, SCB, BBL, CPN, PTTGC, IVL, KTB, CPF, HMPRO, MINT, INTUCH, TOP, BEM, GLOW, IRPC, EGCO, DTAC, BANPU, GPSC, DELTA, TU, RATCH, TISCO, KKP, TTW, SPALI, BCP, PSH, STA, GFPT เป็นต้น นอกจากนี้ ทาง กบข.มีแผนที่จะเข้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทย จากสัดส่วนเดิมอยู่ที่ 7% คิดเป็นเม็ดเงิน 3 หมื่นล้านบาท (ข่าวหุ้น)

คมนาคมเร่งเมกะโปรเจ็กต์ กระทรวงคมนาคมจะเสนอโครงการก่อสร้าง 5 โครงการ งบประมาณ 2 แสนล้านบาท ให้ครม.พิจารณาภายในสัปดาห์หน้า โดยมีโครงการต่าง ๆ ได้แก่ 1) โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท 2) ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภา มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท 3) โครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ มูลค่า 8 หมื่นล้านบาท 4) โครงการศูนย์การขนส่งชานแดน จ.นครพนม มูลค่า 1 พันล้านบาท และ 5) ศูนย์เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จ.เชียงราย มูลค่า 2.3 พันล้านบาท ส่วนความคืบหน้าแผนรถไฟฟ้า คาดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท จะเสนอเข้าบอร์ด PPP ในเดือน ต.ค. และเสนอครม.ในเดือน พ.ย. ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท คาดจะเสนอรฟม.ในเดือน พ.ย. และเสนอ PPP และครม.ในปลายปี (thaipost/สยามรัฐ)

Exim Bank เชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยจะโตขึ้น 8% ในปีนี้ตามคาดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของโลกได้ ในขณะที่อุตสาหกรรมหลัก อย่าง รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน ยังขยายตัวต่อเนื่อง (The Nation) ความเห็น : ทั้งนี้ การส่งออกของไทยเริ่มมีการชะลอตัวในเดือนกันยายนเนื่องจากการส่งออกในปีที่ผ่านมาอยู่ในฐานที่สูง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบเกี่ยวกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอีกด้วย 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 401.13 จุด หรือ +1.63% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 49.47 จุด หรือ +1.86% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 209.94 จุด หรือ +2.95% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์, เทสลา และคอมแคสต์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและแรงขายที่ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง

ราคาน้ำมันดิบ : WTI เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 67.33 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือเกือบ 1% ปิดที่ 76.89 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจาก รมว.น้ำมันซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า ซาอุดีอาระเบียอาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อลดสต็อกน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง หลังจากสต็อกเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  นอกจากนี้นักลงทุนจับตาภาวะน้ำมันตึงตัวที่อาจเกิดจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่านในวันที่ 4 พ.ย. มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงราว 500,000-2,000,000 บาร์เรล

ราคาทองคำ : เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ หรือ 0.11% ปิดที่ 1232.40 ดอลลาร์/ออนซ์ การพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้สกัดแรงซื้อทองคำ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.32% แตะระดับ 96.67  อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงมาที่ 3.10%