- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 October 2018 19:29
- Hits: 10627
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
วิกฤติศรัทธาตลาดหุ้นทั่วโลก
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ในที่สุดการเดินเกมส์ด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ก็พุ่งเข้าทำร้ายตลาดหุ้นสหรัฐฯ เอง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรสุทธิ ของ บจ. ออกมาดี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่และการลดภาษีภายในประเทศสหรัฐฯ นักลงทุนกลับมาไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเดินหน้าเติบโตได้ดีต่อเนื่องไปอีก ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากผลของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รายงานยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ ร่วงลงติดต่อกัน 4 เดือน คาดว่าเป็นผลของความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอีกครั้ง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.25% ในการประชุมรอบเดือน ธ.ค.61 และอีก 3 ครั้งในปี 2562 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดความร้อนแรงลงมาอยู่ที่ 3.10% ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งที่จริงควรจะทำให้ตลาดหุ้นกลับมารีบาวด์ขึ้นได้แล้ว แต่ดัชนีชี้วัดความกลัว หรือ VIX ยังเดินหน้าสูงต่อไปที่ 25 จุด และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ากลับขึ้นมา ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงมากถึง 2.41%-4.43% วันนี้อาจจะยังเป็นอีกวันที่ยังไม่สิ้นสุดขาลง แต่ยังคาดหวังว่ามีโอกาสรีบาวด์กลับได้หากดัชนีลงไปทดสอบ 1,600-1,611 จุด ซึ่งจะทำให้ Earnings Yield Gap มีช่วงกว้างถึง 4% มากพอจะทำให้เงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นได้ กรอบดัชนีวันนี้ 1,600-1,645 จุด หุ้นแนะนำ TISCO, BBL, KKP
Stock Comment
TISCO Pick of the day
BBL (ปิด 209 บาท; ซื้อ; AWS TP 246 บาท) คาดว่ากลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาโดดเด่น เราเพิ่มน้ำหนักจาก Neutral สู่ Overweight และเลือก BBL เป็น Top Pick ของกลุ่มเช่นเดิม
KKP (ปิด 69.75 บาท; ซื้อ; AWS TP 86.00 บาท) คาดไตรมาส 4/61 จะรับรู้กำไรค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาการเงิน ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ และ NPL จากธุรกิจธนาคารปรับตัวลดลง 5 ไตรมาสติดต่อกัน เป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการในปี 2562
หุ้นเด่นวันนี้ : TISCO (ปิด 77.00 บาท; ซื้อ; AWS 12M TP: 102.00 บาท)
เราชื่นชอบ TISCO จากการที่ธนาคารมี ROE แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ 18.9% ในปี 2561 รวมถึงมีอัตราเงินปันผลตอบแทนดีมากที่ 6.8% นอกจากนี้ ด้วยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ที่สูงมากถึง 193.5% ทาให้ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนการตั้งสารองต่อสินเชื่อเฉลี่ย (Credit cost) ปี 2562 จะเริ่มกลับสู่ระดับปกติ หรืออาจอยู่ต่าถึง 50-60bps เทียบกับระดับปี 2561 ที่ 115bps อีกทั้ง NPL จากลูกค้า SME รายหนึ่ง ที่กระโดดขึ้นมาในช่วงไตรมาส 2/61 ได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ไตรมาส 3/61 แล้ว ทาให้อาจมีการ Reclassification หนี้เสียก้อนนี้ในอนาคต นอกเหนือจากนั้นแล้ว TISCO คาดสินเชื่อจะกลับมาเติบโตในอัตรา Single-digit ในปีหน้า ฟื้นตัวจากปีนี้ที่ -5% หนุนโดยสินเชื่อจานาทะเบียนรถ เราคาดการณ์ EPS จะเติบโต 12.9% ในปี 2561 และ 12.4% ในปี 2562
ปัจจัยในประเทศ :
KTB (ราคาปิด 19.60 บาท; ซื้อ; AWS 12M TP 22.30 บาท) คาด AQ จะชำระคืนหนี้จำนวนที่เหลืออีก 8.3 พันล้านบาทในช่วงต้นปี 2562 แต่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะนำกำไรพิเศษดังกล่าวไปใช้ในด้านใด นอกจากนี้ ธนาคารคาดการที่ AQ สามารถชำระคืนหนี้ให้กับธนาคารจะช่วยให้แนวโน้มสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ผ่อนคลายอย่างมาก เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองไปแล้ว 50% ของมูลหนี้ และไม่ได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญไปทั้งหมด (ข่าวหุ้น) ความเห็น: เราคาด KTB จะนำกำไรบางส่วนไปบันทึกการตั้งสำรอง เพื่อเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ให้เทียบเท่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม หากตั้งสมมติฐานว่าธนาคารได้ตัดจำหน่ายหนี้สูญของ AQ ไปแล้ว 50% การชำระคืนหนี้ดังกล่าวจะช่วยให้จำนวน NPL โดยรวมของ KTB ลดลงราว 5%
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ร่วงลง 608.01 จุด หรือ -2.41% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 329.14 จุด หรือ -4.43% และดัชนี S&P500 ลดลง 84.59 จุด หรือ -3.09% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากมีรายงานว่ายอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐร่วงลงติดต่อกัน 4 เดือน รวมทั้งรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งระบุว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้า Nasdaq ดิ่งลงกว่า 300 จุด เนื่องจากแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงบริษัทเท็กซัส อินสตรูเมนท์ ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐ ที่เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : WTI เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 66.82 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ ลดลง 27 เซนต์ หรือเกือบ 0.4% ปิดที่ 76.17 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัว อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ทั้งนี้ สหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ระงับการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านโดยสิ้นเชิงภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐฯ ทำการคว่ำบาตร
ราคาทองคำ : ลดลง 5.70 ดอลลาร์ หรือ 0.46% ปิดที่ 1231.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าลดความน่าดึงดูดของทองคำ
U.S.Dollar Index : สูงขึ้นทำนิวไฮอีกครั้งที่ 96.36-96.53 จุด ขณะที่ U.S.Bond Yield 10 ปี คลายตัวลงมาที่ 3.10% และ VIX ปรับตัวสูงขึ้นไปที่ 25.23 จุด จากวานนี้ที่ 20.71 จุด ทำให้สถานการณ์โดยรวมยังสร้างปัจจัยลบให้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้อีกในวันนี้
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO15407