- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 October 2018 18:58
- Hits: 4282
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้
พักเงินใน Defensive หรือ หุ้นปันผลเด่น
Smart Pick
สะสม DTAC
ราคาปิด 44.50 บาท
ราคาเหมาะสม 53.00 บาท
DTAC เป็นเพียงผู้ประกอบการรายเดียวเข้าประมูลคลื่น 900MHz ในวันที่ 28 ต.ค. เรามองเป็นบวกต่อการเพิ่มจำนวนคลื่นในมือ
อีกทั้งผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 3Q61 และพลิกกลับมาเป็นกำไรใน 4Q61 ราว 1.0-1.1 พันล้านบาท หลังค่าเสื่อมราคาสัมปทานเดิมหมดลง คาดส่งผลให้ 4Q61 เรามองว่าโอกาสที่ DTAC จะถูก Re-Rating จากราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ EV/EBITDA เพียง 4.9 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ 8 เท่า
เก็งกำไร SEAFCO
ราคาปิด 9.15 บาท
ราคาเหมาะสม 10.65 บาท
เรามองว่าหุ้นขนาดกลางที่ผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง อย่าง SEAFCO จะสามารถทนแรงเสียดทานต่อภาวะการลงทุนที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้ได้
นอกจากนี้ SEAFCO เราคาดกำไรปกติ 3Q61 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 107 ล้านบาท +107% YoY และ +15% QoQ ขณะที่ Backlog ปัจจุบันสูงถึง 3.3 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่กว่า 6 พันล้านบาท รองรับการเติบโตของรายได้ต่อเนื่องในปี 2562
สะสม DIF
ราคาปิด 15.00 บาท
ราคาเหมาะสม 15.60 บาท
เรามองว่า DIF เป็นที่พักเงินได้ดีช่วงที่ SET INDEX ผันผวน เนื่องจาก DIF มีสินทรัพย์และกระแสเงินสดมั่นคงจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ไตรมาสละ 0.24-0.25 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงิน ปันผลราว 1.6% ต่อไตรมาส ขณะที่เงินปันผลทั้งปี 2561 และ 2562 เราคาดหุ้นละ 1.02 บาท และ 1.05 บาท ตามลำดับ ให้ผลตอบแทนรวมถึงปีละ 7% ซึ่งสูงกว่า TFIFF ที่ให้ผลตอบแทนราว 4.75-5.30%
เก็งกำไร CPF
ราคาปิด 24.20 บาท
แนวต้านทางเทคนิค 25.00 บาท
ราคาหุ้นวานนี้ปิดบวกสวนตลาดได้ สะท้อนถึงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง คาดมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 25.00 บาท แนวรับ 23.60 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 23.40 บาท
หุ้นกลุ่มส่งออกอาหารมี Sentiment บวกจากเงินบาทที่อ่อนค่าติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ล่าสุดอยู่ที่ THB32.95/USD เป็นปัจจัยช่วยหนุนผลประกอบการ 4Q61
Profit Taking : N.A.
กลยุทธ์วันนี้
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความเปราะบางอยู่มาก แม้ว่าผลการดำเนินงานในบริษัทจดทะเบียนของยุโรปและสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด แต่ตลาดกลับไม่ให้น้ำหนัก โดยตลาดให้น้ำหนักกับต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2562 รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากตลาดหุ้นหลักทั่วโลกปรับตัวลงแรงในช่วง 1-3 วันทำการที่ผ่านมา และนำเงินเข้าพักใน Safe haven ทั้งจากตลาดตราสารหนี้ สะท้อนได้จากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงต่อเนื่อง ราคาทองคำทรงตัวแข็งแกร่ง และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ทะลุ 96 จุดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 เดือน
เรามองว่าเงินทุนต่างชาติจะเลือกลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง เพื่อนำกำไรไปชดเชยความเสียหายในตลาดหุ้นอื่นๆ อีกทั้งค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เช้านี้ที่อ่อนค่า เป็นอีกปัจจัยที่กดดันจิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น เราประเมินว่า SET INDEX รอบนี้มีโอกาสลงไปทดสอบระดับต่ำสุดครั้งก่อนที่บริเวณ 1585-1590 จุด ซึ่งเป็นจุดที่อาจเกิด Technical Rebound รอบสั้นได้ ทั้งนี้เรามองว่ากลุ่มไฟแนนซ์ / กลุ่มโรงพยาบาล / กลุ่มพลังงาน ที่ YTD ผลตอบแทน +9.42%, +8.13% และ -0.65% เทียบกับ SET INDEX -7.43% กลุ่มเหล่านี้จะต้องระมัดระวังมากขึ้น
กลยุทธ์ในช่วงนี้ เราต้องการมามองหาคุณภาพของผลการดำเนินงานเป็นสำคัญ (Fight to Quality) โดยประมาณการกำไรปี 2561-2562 มี Downside จำกัด Valuation อยู่ในโซนถูกในแง่ของ PER61-62 และหากมีเงินปันผลเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 5% ได้ด้วยแล้วย่อมเป็นทางเลือกของการสะสมหุ้นกลุ่มนี้ เช่น ADVANC/ DTAC/ KKP/ TISCO/ TKS/ BANPU เป็นต้น
วันนี้ติดตามการรายงานผลการดำเนินงาน 3Q61 ของ PTTEP เราคาดกำไรปกติราว 1.2 หมื่นล้านบาท (+10% QoQ, +64% YoY) หนุนด้วยการเติบโตทั้งปริมาณขาย จากการรับรู้แหล่งบงกชส่วนเพิ่มเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก และราคาขายเฉลี่ยที่ขยับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
วานนี้ SET INDEX ปรับตัวลงเป็นวันที่ 5 มากถึง 35.19 จุด (-2.12 %) ปิดที่ 1623.37 จุด โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี ปรับตัวลงแรงถึง 3.7% และ 4.3% ตามลำดับ จากราคาน้ำมันดิบที่พักฐานแรง มูลค่าการซื้อขายราว 6.5 หมื่นล้านบาท รวม 5 วันทำการ SET INDEX ปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 74.5 จุด
กระแสเงินทุน : กลุ่มนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นวันที่ 15 อีกราว 4 พันล้านบาท รวม 15 วันทำการขายสุทธิสะสมราว 5.4 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับกลุ่มสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการราว 917 ล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures กลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 4 อีกราว 1.1 หมื่นสัญญา รวม 4 วันทำการมีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 3.1 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิราว 3.5 หมื่นสัญญา สวนทางกับกลุ่มสถาบันในประเทศและบัญชี บล. ที่มีสถานะ Long สุทธิเป็นวันที่ 6 อีกราว 9.5 พันสัญญา รวม 6 วันทำการมีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 2.8 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิราว 4.4 หมื่นสัญญา
ตลาดตราสารหนี้ : นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการราว 7.3 พันล้านบาท และค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเล็กน้อยสู่ระดับ THB32.90/USD
ปัจจัยสำคัญวันนี้
นายกรัฐมนตรีอิตาลีเผยไม่มีแผนสำรองสำหรับงบประมาณของประเทศ หลังสหภาพยุโรปหรืออียู ขอให้อิตาลีกลับไปพิจารณาปรับร่างงบประมาณปี 2562
เฟดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือน ต.ค. แสดงความกังวลต่อสงครามทางการค้า ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต้นทุนของภาคเอกชน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการการปรับปรุงเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย และคาดว่าจะมีความชัดเจนในต้นเดือน พ.ย. 2561
กรมทางหลวงเผยแนวทางการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ระยะเวลา 20 ปี ทั้งหมด 21 เส้นทาง ระยะทาง 6,612 กม. โดยในช่วง ปี 2560-2565 จะมีทั้งสิ้น 5 โครงการ วงเงินลงทุนราว 2.55 แสนล้านบาท
EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5
อียูรายงานค่า PMI ภาคการผลิตและบริการ เดือน ต.ค. อยู่ที่ระดับ 52.7
ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป วันที่ 25 ต.ค.
ติดตามการรายงาน GDP 3Q61 ของสหรัฐฯ ครั้งที่ 1 ตลาดคาดขยายตัว 3.3% YoY วันที่ 26 ต.ค.
ติดตามการรายงานผลประกอบการ 3Q61 ของ PTTEP ในวันนี้
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA Head of Research 662-009-8050
Padon Vannarat Strategist 662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist 662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist 662-009-8059
OO15399