- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 October 2018 18:03
- Hits: 19681
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คงเป็นอีกวันที่ฝันร้าย
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่พ้นภาวะ Bearish จากปัจจัยความกังวลที่ก่อตัวขึ้นจากสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุ ทั้งเรื่องกังวลกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ข้อพิพาทของคู่กรณีใหม่สหรัฐฯ กับซาอุดิอาระเบีย ขณะที่กรณีเดิมคือสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยังไม่คลี่คลาย และยิ่งทำให้นักลงทุนเริ่มหวาดระแวงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อันเกิดจากบรรยากาศที่ไม่สดใสสำหรับการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวของคนจีน เพราะเขาก็กังวลเรื่องสงครามการค้าจะกระทบกับเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ด้วยเหมือนกัน เรื่องนี้มีผลกระทบลามมาถึงประเทศไทยทางอ้อมด้วย กรอบดัชนีวันนี้มอง 1,690 และ 1,700 จุดเป็นแนวต้านสำคัญ ขณะที่แนวรับก็ถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ที่ 1,670 และ 1,660 จุด หุ้นแนะนำ TOP, BBL, KBANK
Stock Comment
TOP Pick of the day ในสถานการณ์ที่อึมครึม เราพบว่ามีปัจจัยบวกซ่อนอยู่
BBL (ปิด 213.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 246.00 บาท)ประกาศผลประกอบการออกมาดีเป็นที่น่าพอใจ ทิศทางในไตรมาส 4/61 คาดว่าตลาดหุ้นยังประคองตัวต่อไปได้ด้วยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
KBANK (ปิด 206.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 237.00 บาท)ผู้นำทางด้าน Fintech ที่ก้าวหน้าไปไวมากกว่าธนาคารพาณิชย์ด้วยกันรวมถึง Startup อื่น ๆ จับตาว่าน่าจะเป็น Alibaba of Thailand
หุ้นเด่นวันนี้ : TOP (ปิด 84.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 101 บาท)
จากข้อมูล Presentation to Investor October 2018 ของ TOP รายงานว่า ค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลในไตรมาส 4/61 QTD ดีดตัวขึ้นเป็น 16.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากค่าเฉลี่ย 14.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 3/61 ตามปัจจัยการเก็งกำไรเรื่อง IMO2020 ซึ่ง TOP เคยให้ข้อมูลไว้ว่าค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลคาดว่าจะดีดตัวดีขึ้นในช่วง 2H61 ต่อเนื่องไปในปี 2562 นอกจากนี้ PX Spread ในไตรมาส 4/61 QTD ก็ยิ่งดีดตัวขึ้นต่อเนื่องมาอีก 20% เป็น 541 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากไตรมาส 3/61 มีค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น 57% QoQ เป็น 450 เหรียญสหรัฐฯ แล้วก็ตาม สองปัจจัยสำคัญนี้ จะส่งผลบวกต่อ TOP มากที่สุดในบรรดาธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี การที่ TOP ได้ปัจจัยบวกที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3/61 คาดว่าส่งผลดีต่อผลประกอบการในช่วง 2H61 เราจึงแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 101 บาท อิงค่า EV/EBITDA ที่ 5 เท่า ซึ่งจะเห็นได้ว่า TOP มีความแข็งแกร่งทางการเงินมาก แม้จะไม่ได้มี Growth ของกำไรรายปีที่โดดเด่นก็ตาม ขณะที่ปัจจัยระยะไกลที่มองแล้วน่าจะเกิดผลดีอย่างมากคือโครงการ CFP ซึ่งจะสามารถทำให้ TOP มีต้นทุนการซื้อน้ำมันได้ถูกลง และสามารถกลั่นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง คือน้ำมันดีเซลได้มากขึ้น ลดผลผลิตน้ำมันเตาไปได้ทั้งหมด เป็นอีกปัจจัยบวกในระยะยาวที่น่าติดตาม
Price Pattern ของ TOP ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Monthly Sell Signal แต่ Price Pattern ของ TOP ได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TOP มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 89 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 93.50 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TOP มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 82.25 บาท (Resistance: 84.50, 85.00, 86.25; Support: 83.50, 83.00, 81.75)
ปัจจัยในประเทศ :
ยอดการผลิตและการส่งออกเดือน ก.ย. ลดลง ส.อ.ท. รายงานยอดการผลิตรถยนต์เดือน ก.ย. อยู่ที่ 183,191 คัน ลดลง 3.7%YoY สอดคล้องกับยอดการส่งออกรถยนต์เดือน ก.ย. ที่ลดลง 13.7%YoY มาอยู่ที่ 104,163 คัน ในขณะที่ ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น 14.3%YoY มาที่ 88,668 คัน (infoquest) ความเห็น : แม้ว่ายอดการผลิตและยอดการส่งออกจะลดลง แต่เรามองว่าภาพรวมธุรกิจยานยนต์ยังคงดีอยู่ โดยยอดรวมการผลิตและส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2561 ยังคงสูงขึ้น 8.6%YoY และ 1.0%YoY ตามลำดับ นอกจากนี้จากเป้าการผลิตรถยนต์ที่ทางส.อ.ท.ตั้งไว้ที่ 2.08 ล้านคัน คาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าที่ตั้งไว้ได้ โดยปัจจุบันยอดการผลิตรวม 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 1,604,191 คัน คิดเป็น 77% ของเป้าที่ส.อ.ท.ตั้งไว้ เรายังคงอันดับการลงทุน "มากกว่าตลาด" สำหรับกลุ่มยานยนต์
ชง 'ฟรีวีซ่า' 21 ชาติฟื้นท่องเที่ยว ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเล็งครม.เว้นค่าวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง กับนักท่องเที่ยว 21 ชาติรวมจีน ระยะเวลา 2 เดือน คือ เดือน พ.ย.-ธ.ค. 61 เพื่อหนุนท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน (กรุงเทพธุรกิจ) ความเห็น : คาดว่าการยกเว้นวีซ่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี จะช่วยหนุนจำนวนการท่องเที่ยวได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากเรามองว่านักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีความวิตกเกี่ยวกับความปลอดภัยอยู่ และคาดว่าเศรษฐกิจจีนมีโอกาสชะลอตัว จากผลของสงความการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวลง
KBANK (ปิด 206 บาท; ซื้อ; AWS TP 237 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 ที่ 9.7 พันล้านบาท ลดลง 10.7% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2.9% YoY ส่งผลให้กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2561 อยู่ที่ 3.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% YoY (SET) ความเห็น : กำไรสุทธิไตรมาส 3/61 ต่ำกว่าประมาณการเรา 7.7% แต่เป็นไปตามประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก กำไรสุทธิที่ลดลง QoQ เนื่องจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยและรายได้จากผลิตภัณฑ์ตลาดทุนที่ลดลง ส่วนกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น YoY หนุนโดยระดับการตั้งสำรองที่ปรับตัวลง กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2561 คิดเป็น 80% ของประมาณการเต็มปี ขณะที่โดยปกติแล้วกำไรสุทธิไตรมาสสี่ของ KBANK จะชะลอตัวเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงตามฤดูกาล ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เราจะยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ที่ 3.9 หมื่นล้านบาท (+14% YoY)
TMB (ปิด 2.24 บาท; ซื้อ; AWS TP 2.78 บาท) ผู้บริหาร TMB ยอมรับว่ากระทรวงการคลังกำลังศึกษาแผนหาพันธมิตรควบรวมกิจการกับ TMB ขณะที่แหล่งข่าวที่ปรึกษาทางการเงินคาดการควบรวมระหว่าง TMB และ TCAP ดูมีความเป็นไปได้ (ข่าวหุ้น) ความเห็น : เรามีมุมมองบวกต่อการควบรวม ด้วย Synergy ที่เกิดขึ้นจากขนาดของธนาคารที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ ขณะที่เรายังเชื่อว่าการควบรวมอาจยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะอันใกล้
TIP (24.30 บาท; NR; NA) TIP เปิดตัวโครงการ Tip Gateway ซึ่งถูกพัฒนาร่วมกับบริษัท Start up อย่าง Acrosure โดยเป็นระบบ Self-Serve Insurance API Gateway รายแรกของโลก โดยระบบนี้ดำเนินการภายใต้แนวคิด Insure with Partner ที่ช่วยให้ธุรกิจ Tech Startup สามารถเชื่อมต่อกับระบบประกันภัยของทิพยประกันภัย เพื่อนำเสนอความคุ้มครองรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดรับกับไลฟสไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้ (The Nation) ความเห็น : ในยุคธุรกิจประกันภัยปัจจุบันได้หันมาเน้นลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสมดุลในพอร์ทตัวเองนั่นหมายถึงผู้เสนอช่องทางดิจิตอลมาเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆรายแรกจะชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในเรื่องการเป็นผู้นำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจประกัน
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์ ร่วงลง 327.23 จุด หรือ -1.27% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,768.78 จุด ลดลง 40.43 จุด หรือ -1.44% และดัชนี Nasdaq ลดลง 157.56 จุด หรือ -2.06% รับแรงกดดันจากปัจจัยลบทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งรวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี โดยความวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ได้ฉุดหุ้นกลุ่มต่างๆร่วงลงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าผู้บริโภค นักลงทุนต้องติดตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเปิดการเจรจานอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : WTI ลดลง 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 68.65 ดอลลาร์/บาร์เรล เบรนท์ ลดลง 76 เซนต์ หรือเกือบ 1% ปิดที่ 79.29 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งจับตาผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO15232