WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
 
“ต่างประเทศรุมเร้า แต่ลุ้นรีบาวด์”
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ปิดตลาดดิ่งลงถึง -38.93 จุด ปิดที่ 1682.89 จุด เทียบกับยอดต่ำสุดของวันที่ 1673.59 จุด และถือว่าลงน้อยกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่ปรับลงมาก มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็น 82.9 พันล้านบาท ปัจจัยลบคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปียังอยู่ในระดับสูง หลังประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ก.ย.ออกมามาก น้ำมันปรับลง และเงินบาททรงตัว ปัจจัยลบเดิมคือ สงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีขึ้น ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น นักลงทุนทั่วไป 9.9 พันล้านบาท สถาบัน 1.7 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 10.6 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 1.0 พันล้านบาท จุดที่น่าสังเกตคือ สถาบันซื้อสุทธิต่อเนื่อง
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ถูกรุมเร้าจากปัจจัยต่างประเทศ หลังดาวโจนส์ปรับลงแรงต่อ 546 จุด แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีอ่อนค่าลง หลังประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ก.ย.ออกมาต่ำกว่าคาด น้ำมันปรับลงต่อ ปัจจัยลบเดิมคือ กังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีขึ้น และ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก สหรัฐและจีน อีกทั้งดัชนีความกลัว (VIX) ทะยานต่อไปถึง 24.98 จุด แต่เช้านี้สิ่งที่ดีคือ เงินบาทแข็งค่า ติดตามผลกำไรกลุ่มแบงค์ TISCO ประกาศออกมาดี แบบ surprise ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งลงแต่เปอร์เซ็นต์ไม่มาก ดาวโจนส์ล่วงหน้า +169 จุด ณ 8.00 น. น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้น วันนี้จึงคาดว่าอาจมีการสลับรีบาวด์ มาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยวานนี้มี Hearing ติดตาม ธปท.จะผ่อนคลายบ้างไหม และดีล GPSC ซื้อ GLOW ล่ม ข้อดีคือแม้ปัญหา EM ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล เศรษฐกิจ ต.ค.แนวโน้มแข็งแกร่ง ด้านการเลือกตั้งตามโรดแมป มีกิจกรรมคึกคักขึ้น สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐควํ่าบาตรอิหร่าน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1670-1700 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้
  Update หุ้นเด่น: AOT – กำไร 4Q61 (สิ้นสุด ก.ย.61) มีโอกาสจะชะลอลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยที่บางลง ก.ค.-ส.ค.เพิ่มเพียง 2.9% y-o-y เทียบกับ 1H61 ที่เพิ่ม 12.5% ทั้งนี้รัสเซีย (ผลจากฟุตบอลโลก) และจีน (ผลจากเรือล่ม ภูเก็ต) มีการลดลงมาก แต่คาดว่าภาพการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นตั้งแต่ 1Q62 (ต.ค.-ธ.ค.61) เป็นต้นไป เพราะย่างเข้าสู่ฤดูกาลที่ดี หรือ ไฮซีซั่น เราเห็นว่าการที่จะมีสี่สนามบินใหม่และได้รับการอนุมัติแล้วจะก่อให้เกิดผลดีต่อการเติบโตในระยะยาว ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร ตาก และชุมพร คงคำแนะนำ ทยอยซื้อเพื่อลงทุน คาดว่าจะมีการประกาศผู้ชนะสัมปทานบริหารพื้นที่สนามบินเชิงพาณิชย์ได้ ก.พ.62 กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 75.00 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1700 แนวรับ 1670-1660
  สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TISCO,AOT หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SCC,STEC,SYNEX,STA หุ้นที่หลุด List MBK,KTB,GPSC,GLOBAL,BLA หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ ไม่มี
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ดิ่งต่อ 545.91 จุด
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,052.83 จุด ร่วงลง 545.91 จุด หรือ -2.13% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,728.37 จุด ลดลง 57.31 จุด หรือ -2.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,329.06 จุด ลดลง 92.99 จุด หรือ -1.25%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐขยับลงหลังจากการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาดเมื่อคืนนี้ แต่นักลงทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง สต็อกเพิ่ม กังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 2.20 ดอลลาร์ หรือ 3.01% ปิดที่ 70.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ปีนี้
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.83 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 80.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงานทั่วโลก
• ทองคำ : ทะยาน เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 34.2 ดอลลาร์ หรือ 2.87% ปิดที่ 1,227.6 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐได้ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับสัญญาทองคำเช่นกัน
-กังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด แม้ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด
  # มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยแม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.157% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% แต่นักลงทุนมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงเคลื่อนไหวในระดับที่สูงและจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
+การยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นกว่าคาด
  # กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 206,000 ราย
-มีแรงกดดัน จากเรื่องสงครามการค้าต่อเนื่อง
  # ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากความกังวลที่ว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2.67 แสนล้าน ดอลลาร์ หากจีนทำการตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ของสหรัฐ
-IMF เตือน สงครามการค้า ฉุดเศรษฐกิจโลก
  # นางคริสทีน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เตือนในระหว่างการแถลงในที่ประชุมประจำปีของ IMF ที่อินโดนีเซียเมื่อวานนี้ว่า ความตึงเครียดด้านการค้าจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลทำให้ประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย
+ ดอลลาร์อ่อนค่า เงินปอนด์พุ่ง รับข่าวอังกฤษ-EU จ่อบรรลุข้อตกลง Brexit จันทร์หน้า
  # ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ย. นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐ
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมา
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-/• GPSC: ล้มดีลซื้อ GLOW หลัง กกพ.ไม่ไฟเขียว
  # GPSC ล้มแผนซื้อหุ้น GLOW หลัง กกพ. ลงมติไม่เห็นชอบซื้อกิจการ GLOW - อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการดำเนินงานต่อไป ลั่นเดินหน้าตามวิสัยทัศน์เดิม มุ่งสร้างนวัตกรรมด้านไฟฟ้า พัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมแสวงหาโอกาสเติบโตจากการลงทุนทั้งใน - ต่างประเทศ ชี้มีอีกหลายโปรเจ็กต์ในมือ (สำนักข่าวหุ้นอินไซด์) 
  ผลกระทบ: หุ้น GPSC ปรับลงน้อยกว่า GLOW เพราะธุรกิจเดิมแข็งแกร่ง และหมดภาระการเงินจำนวนมากที่ใช้ในการซื้อ GLOW ส่วน GLOW ขาดแรงกระตุ้น จากการซื้อหุ้นไปทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ฯที่ราคาสูง ก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว ตามที่เราเคยให้ความเห็นไปก่อนหน้านี้
-/+ แบงก์รัฐ-เอกชน วอน ธปท.ปรับเกณฑ์คุมสินเชื่อบ้านหวั่นกระทบผู้มีรายได้น้อย
  # ธอส. เปิดเผยภายหลังเข้ารับฟังความเห็น (Public Hearing) เกณฑ์ใหม่ในการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่มีความจำเป็นต้องมีบ้านหลังสอง อาจจะทำให้หันไปใช้เงินกู้นอกระบบเพื่อมาปิดบ้านหลังแรก ทำให้หนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น
  # อยากเสนอให้ ธปท.พิจารณาปรับหลักเกณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยให้ผ่อนปรนเกณฑ์วางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% ของมูลค่าหลักประกัน (LTV limit 80%) ให้คุมเฉพาะบ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งเสนอให้เลื่อนเวลาบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวจากที่กำหนดเริ่มวันที่ 1 ม.ค.62 ออกไปก่อน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์และภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัว
  # ผลกระทบ: คาดว่าหลักทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัยปรับลง รับข่าวลบไปพอควรแล้ว ต้องติดตามผลการรับฟังความเห็น (Hearing) หากในที่สุด ธปท.มีความยืดหยุ่น และแก้กณฑ์ให้ผ่อนคลายลง ก็จะส่งผลดีกับหลักทรัพย์กลุ่มนี้ได้ในอนาคต
+/- ติดตามประกาศผลประกอบการ 3Q61 เริ่มจากกลุ่มสถาบันการเงิน สัปดาห์นี้
  # คาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร 3Q61 เป็น 43.1 พันล้านบาท (+5.9% y-o-y,-6.8% q-o-q)
  # สาเหตุที่เติบโตได้ y-o-y เพราะความต้องการสินเชื่อมาก และการตั้งสำรองปรับลดลง แต่ขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ได้แก่ค่าธรรมเนียมกลับปรับลดลง รวมทั้งต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
  # ในงวด 3Q61 คาดว่าหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิดีสุดคือ BBL ส่วนกำไรจากการดำเนินงานดีสุดคือ KKP
  # คงจัดลำดับให้ BBL และ KKP เป็น Top Pick ในหลักทรัพย์หมวดธนาคาร
-/• สบน.ให้ความเห็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนปี 62 จะผันผวน และหนี้สาธารณะไทยที่เพิ่มยังไม่น่าห่วง
  # โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มองว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนในปี 62 มีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนมากกว่าในปีนี้ สืบเนื่องจากธนาคารกลางของหลายประเทศทยอยกลับเข้าสู่การใช้นโยบายการเงินในระดับปกติ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยปรับเข้าสู่ขาขึ้น ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
  # สำหรับกรณีมีข้อกังวลในสื่อโซเชียลต่อยอดหนี้สาธารณะของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดหนี้สาธารณะคงค้างเดือน ส.ค.61 อยู่ที่ 6.67 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.32% ต่อจีดีพี ซึ่งในส่วนนี้เป็นหนี้ของรัฐบาลสูงถึง 5.36 ล้านล้านบาท นั้น โฆษกสบน. ยืนยันว่า การบริหารหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งยังคงไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ซึ่งแม้หนี้สาธารณะจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้มีความน่าเป็นห่วงต่อระบบเศรษฐกิจ
 
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO15015

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!