- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 10 October 2018 22:12
- Hits: 9254
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“บวกจากบอนด์ยิลด์เริ่มลด แต่ IMF&สงครามการค้าสกัด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ปิดตลาดเพิ่มเล็กน้อย +0.70 จุด ปิดที่ 1696.92 จุด มีแรงขายหลังไปทำจุดสูงสุดถึง 1708.72 จุด และถือว่าสอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่แกว่งแคบ มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 52.5 พันล้านบาท ปัจจัยลบคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีปรับตัวขึ้นต่อ ดัชนีความกลัว (VIX) ก็สูงขึ้นมากและยังกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นตัวค้ำจุนตลาดฯให้ยืนบวกได้ ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น สถาบัน 2.7 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไป 2.1 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 4.6 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.2 พันล้านบาท จุดที่น่าสังเกตคือ สถาบันพลิกกลับมาซื้อสุทธิ แต่ต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสุทธิหนักมือ
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นคาดว่า SET มีโอกาสรีบาวด์ได้ หลังลงมาแรงและเร็ว ปัจจัยบวกคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีเริ่มลดลง โดยยังต้องติดตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯที่จะประกาศวันพฤหัส เงินบาทกลับมาแข็งค่า และน้ำมันปรับขึ้น แต่แรงสกัดคือ สงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีขึ้น และ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกสหรัฐ และจีน อีกทั้งดัชนีความกลัว (VIX) ก็ปรับขึ้นอีก การเมืองมีข่าวยุบพรรคเพื่อไทย และตั้งพรรคสำรอง แต่ได้รับการปฏิเสธ ยังไม่มีผล ติดตามผลกำไรกลุ่มแบงค์ ซึ่ง DBSVTH คาดว่าเป็น 43.1 พันล้านบาท (+5.9% y-o-y,-6.8% q-o-q) ถือว่าปานกลาง ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งแคบๆเป็นบวก ดาวโจนส์ล่วงหน้า +1 จุด ณ 8.01 น. น้ำมันล่วงหน้าปรับลง มาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังกระทบต่อหลักทรัพย์กลุ่มสถาบันการเงินและอสังหาฯ ข้อดีคือแม้ปัญหา EM ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล เศรษฐกิจ ต.ค.แนวโน้มแข็งแกร่ง ด้านการเลือกตั้งตามโรดแมป มีกิจกรรมคึกคักขึ้น สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ บาทอ่อนส่งผลดีต่อหุ้นส่งออก หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1690-1710 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดัชนีฯปรับลงแนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้
Update หุ้นเด่น: JKN – เรทติ้งหนังอินเดียดี เทียบกับละครไทย ขณะที่ราคาซื้อหนังอินเดียต้นทุนต่ำกว่าทำละครเองประมาณ 3-6 เท่าในเรทติ้งที่พอๆกัน แนวโน้มปี 61-62 แข็งแกร่ง เราคาดว่าธุรกิจใน 2H61 ยังไปได้ดีมาก และมีโปรแกรมใหม่คือ CNBC ที่เริ่มออกอากาศรายการ First Class ไปเมื่อมิ.ย.61 (ช่อง 3SD) ประมาณการกำไรสุทธิปี 61/62 เติบโตสูงมาก 36%/46% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 15.20 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบแบบมีบวกเล็กๆซ่อนอยู่ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1705-1710 แนวรับ 1690-1680
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ BBL,SCC,SKN,PTT,JKN หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BH,MBK,SCN หุ้นที่หลุด List BAY หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ ไม่มี
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ลด แต่ Nasdaq ปรับเพิ่ม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,430.57 จุด ลดลง 56.21 จุด หรือ -0.21% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,880.34 จุด ลดลง 4.09 จุด หรือ -0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,738.02 จุด เพิ่มขึ้น 2.07 จุด หรือ +0.03%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2561 อีกทั้งปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐและจีนในปี 2562 อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังคงเคลื่อนไหวในระดับที่สูงมาก
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น อิหร่านส่งออกน้ำมั้นลดลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 74.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 85.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้น 0.9% เมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่า อิหร่านเริ่มลดการส่งออกน้ำมันก่อนที่สหรัฐจะทำการคว่ำบาตรครั้งใหม่ในเดือนหน้า นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากข่าวการปิดแหล่งผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคน "ไมเคิล"
• ทองคำ : ปรับขึ้น เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.9 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ 1,191.5 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
-IMF ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐและจีนปี 62 เพราะสงครามการค้า
# กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2561 ลง 0.2% สู่ระดับ 3.7% เช่นเดียวกับปี 2562 ที่จะขยายตัวที่ระดับ 3.7% ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
# กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2561 เอาไว้ที่ 2.9% และคงคาดการณ์เศรษฐกิจจีนเอาไว้ที่ระดับ 6.6% อย่างไรก็ตาม IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในปี 2562 ลง 0.2% สู่ระดับ 2.5% และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนในปี 2562 ลง 0.2% สู่ระดับ 6.2%
-สงครามการค้ากลับมาเป็นประเด็นมากขึ้น
# มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ถ้าหากจีนได้ทำการตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ของสหรัฐ
# ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ภาวะการค้าที่ไม่สมดุลระหว่างสหรัฐและจีนเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าจีนได้ทำการตอบโต้สหรัฐแล้ว และยังกล่าวด้วยว่า จีนไม่พร้อมที่จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
+ ดอลลาร์อ่อนค่า เงินปอนด์พุ่ง รับข่าวอังกฤษ-EU จ่อบรรลุข้อตกลง Brexit จันทร์หน้า
# เงินปอนด์พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) หลังจากสื่อต่างประเทศรายงานว่า สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (EU) อาจบรรลุข้อตกลงว่าด้วยการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ภายในวันจันทร์หน้า ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
-ติตดามตัวเลข CPI ประกาศพฤหัสนี้ มีผลกับ Bond Yied และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
# นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ (CPI) เดือนก.ย.ของสหรัฐในวันพฤหัสบดี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI เดือนก.ย.จะเพิ่มขึ้น 0.2% โดยหากตัวเลข CPI ดีดตัวขึ้นมากกว่าระดับ 0.2% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นปัจจัยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมา
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย.,จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
• การเมือง: มีข่าวยุบพรรคเพื่อไทย และตั้งพรรคสำรอง แต่มีการปฏิเสธแล้ว
# 'บิ๊กป้อม'ยันเอง คสช.ไม่มีธงยุบเพื่อไทย กกต.แจงยังไม่มีข้อมูลเอาผิดบินพบ'แม้ว' พท.แถลงไม่มีพรรคสำรอง'จตุพร'โต้จับมือ'สนธิ ลิ้ม'ตั้งพรรคการเมือง ยอมรับมี'เพื่อชาติ' ต่อยอด'นปช.'-คนรักปชต.ลงสนามเลือกตั้ง เป็นแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย จวก รธน.60 ออกแบบมาจัดการพรรคใหญ่ ชี้'เทือก'อ่านขาด กระจายคนลง 5 พรรค
+/- ติดตามประกาศผลประกอบการ 3Q61 เริ่มจากกลุ่มสถาบันการเงิน สัปดาห์นี้
# คาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มธนาคาร 3Q61 เป็น 43.1 พันล้านบาท (+5.9% y-o-y,-6.8% q-o-q)
# สาเหตุที่เติบโตได้ y-o-y เพราะความต้องการสินเชื่อมาก และการตั้งสำรองปรับลดลง แต่ขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ได้แก่ค่าธรรมเนียมกลับปรับลดลง รวมทั้งต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
# ในงวด 3Q61 คาดว่าหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิดีสุดคือ BBL ส่วนกำไรจากการดำเนินงานดีสุดคือ KKP
# คงจัดลำดับให้ BBL และ KKP เป็น Top Pick ในหลักทรัพย์หมวดธนาคาร
-อัตราการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนเพียง 2.77% ในช่วง Golden Week
# ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยในช่วงวันชาติจีน หรือ Golden Week ในระหว่างวันที่ 1-7 ต.ค.61 ว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาประเทศไทย 180,807 คน ขยายตัว 2.77% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการใช้จ่ายระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย 10,205 ล้านบาท ขยายตัว 4.82% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
# ผลกระทบ: การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนกลับไม่ได้เร็วอย่างที่คาด และทอดยาวออกไปประมาณ 6 เดือน แม้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฤดูฝนในไทยปีนี้ยาวนาน และนักท่องเที่ยวจีนยังไม่มั่นใจ หลังเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตและนักท่องเที่ยวจีนถูกทำร้ายที่สนามบิน หลักทรัพย์กลุ่มเดินทาง ท่องเที่ยวและโรงแรม จึงยังอยู่เกณฑ์ที่ชะลอตัวลง
-/+ ทริสเรทติ้งมองเกณฑ์ ธปท. จะส่งผลลบต่อผู้ประกอบการอสังหา ฯ ระยะสั้น แต่ระยะยาวจะช่วยให้ดีขึ้น
# จากข้อมูลของผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งจำนวน 21 ราย พบว่าที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อหลังมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 90%-95% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อขายทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 75%-80% ในเชิงของมูลค่า ในขณะที่ข้อมูลของ ธปท. สำหรับสินเชื่อบ้านที่ปล่อยใหม่พบว่าจำนวนสัญญาสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ที่ใช้ในการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่สองและหลังต่อ ๆ ไปมีสัดส่วนประมาณ 20% ดังนั้น หาก 70% ของผู้ซื้อบ้านเป็นผู้กู้เงินจากธนาคาร ผู้ที่กู้เงินเพื่อซื้อบ้านหลังที่สองที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทลงมาน่าจะเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของผู้ซื้อบ้านทั้งหมด ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการดังกล่าว โดยผลกระทบในเชิงมูลค่าจะอยู่ที่ประมาณ 10%-12% ของยอดขาย แต่ระยะยาวจะช่วยลดปัญหาการเก็งกำไร คอนโดจะได้รับผลกระทบมากกว่าแนวราบ เพราะมีการซื้อเพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรมากกว่า
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14887