- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 October 2018 18:11
- Hits: 4678
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐสูง เป็นแรงบั่นทอน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์– SET Index ปรับลงต่อถึง -8.88 จุด ปิดที่ 1720.52 จุด ขณะที่ยอดต่ำสุดของวันลงไปถึง 1718.12 จุด ถือว่าปรับลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 46.8 พันล้านบาท ปัจจัยลบคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีพุ่งสูงสุดในรอบ 7 ปีทีเดียว และปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาร้อนแรง บาทอ่อน มีเงินไหลออก ดัชนีความกลัว (VIX) ก็สูงขึ้นมาก หุ้นกลุ่มหลักปรับตัวลงถ้วนหน้า ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น นักลงทุนทั่วไป 2.6 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.4 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.3 พันล้านบาท และสถาบัน 0.7 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นคาดว่า SET ยังไม่สดใส แรงกดดันจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แม้ตัวเลขการจ้างงานและค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มไม่รุนแรง แม้เงินดอลลาร์อ่อน แต่เงินบาทก็อ่อนค่าเช่นกัน จึงมีเงินไหลออก ดัชนีความกลัว (VIX) ก็สูงขึ้นมากเป็น 14.82 จุด ตลาดหุ้นเพื่อนเช้านี้แกว่งแคบๆเป็นลบ ดาวโจนส์ล่วงหน้ารีบาวด์ +12 จุด ณ 8.16 น. น้ำมันล่วงหน้าปรับลง มาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังกระทบต่อหลักทรัพย์กลุ่มสถาบันการเงินและอสังหาฯ ข้อดีคือแม้ปัญหา EM ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล เศรษฐกิจ ต.ค.แนวโน้มแข็งแกร่ง ด้านการเลือกตั้งตามโรดแมป มีกิจกรรมคึกคักขึ้น สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ บาทอ่อนส่งผลดีต่อหุ้นส่งออก หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1700-1740 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้
Update หุ้นเด่น: HANA – ได้ประโยชน์ในช่วงบาทอ่อนค่า อีกทั้งแนวโน้ม 2H61 แข็งแกร่ง เชื่อว่ารายได้ในครึ่งหลังปีนี้จะสดใสจากปริมาณซื้อที่สูง โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมสื่อสาร และอุตสาหกรรมอื่นๆก็ไปได้ดีทั้ง คอมพิวเตอร์, ยานยนต์, RFID และอุปกรณ์การแพทย์ ส่วนปี 62 คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องเพราะเป็นช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ แต่เราก็ประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้รูปดอลลาร์อย่างอนุรักษ์นิยมไว้ก่อนที่ +5% คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 43.50 บาท อิงกับ P/E ปี 62 ที่ 15 เท่า –จุดเด่น คือ อุปสงค์ที่แข็งแกร่งทำให้รายได้เติบโตได้, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็นเงินสดสุทธิ และจ่ายปันผลสูง คาด Dividend ปีนี้ 2.00 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 5.1%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆ ก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1725-1730 แนวรับ 1710-1700
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ BBL, RCI, BJCHI, GUNKUL, IVL, PTL,THG หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SOLAR,IVL,BH หุ้นที่หลุด List SVI, PTTGC, AMATA, ROJNA, HANA หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ ไม่มี
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ดิ่ง หลังบอนด์ ยิลด์พุ่ง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,447.05 จุด ร่วงลง 180.43 จุด หรือ -0.68% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,788.45 จุด ลดลง 91.06 จุด หรือ -1.16% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,885.57 จุด ลดลง 16.04 จุด หรือ -0.55%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อวันศุกร์ (5 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นแอปเปิล อันเนื่องมาจากความตื่นตระหนกต่อรายงานข่าวที่ว่า จีนแอบฝังชิปคอมพิวเตอร์ในเซิร์ฟเวอร์บริษัทสหรัฐ
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น กังวลภาวะตึงตัวในอนาคต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ขยับขึ้น 1 เซนต์ ปิดที่ระดับ 74.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 42 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 84.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (5 ต.ค.) โดยตลาดยังคงได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ตลาดน้ำมันโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว จากการที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขจ้างงานสหรัฐ รวมทั้งรายงานที่ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้
• ทองคำ : ปรับขึ้น เนื่องจากดอลลาร์อ่อน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 1,205.6 ดอลลาร์/ออนซ์ และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นโดยรวม 0.8%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (5 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลการค้าพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนแรงซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี พุ่งสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
# อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น โดย ณ เวลา 00.37 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.242% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.413%
+/- ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรอ่อนกว่าคาด แต่ค่าจ้างรายชั่วโมงทรงตัวสูง
# ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 134,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง โดยกระทรวงแรงงานระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ซึ่งพัดถล่มรัฐนอร์ธและเซาธ์แคโรไลนาในเดือนก.ย. เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขการจ้างงานลดลงในบางภาคอุตสาหกรรม
# ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.8%
# สำหรับตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.3% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% เช่นเดียวกันในเดือนส.ค. และเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
-ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หลังเปิดเผยดุลการค้า ส.ค.พุ่งขึ้น
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (5 ต.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลการค้าเดือนส.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ กสทช. เดินหน้าเตรียมความพร้อมจัดทำโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม รองรับการมาของ 5G
# พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคม ในโอกาสครบรอบ 7 ปีของกสทช.ว่า ภารกิจของ กสทช. ที่จะทำต่อไปคือ การทำโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่เทคโนโลยี 5G ให้ทันกับการให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่เกินปี 2563 เนื่องจากเทคโนโลยี 5G จะต้องใช้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่ จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่เป็นธรรม
+ สมาคมอสังหาฯ ลุ้นพรรคการเมืองรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ
# 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยลุ้นพรรคการเมืองรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มั่นใจหลังการเมืองปลดล็อกดึงเรียลดีมานด์คึกคัก เผยไตรมาส 3 ยอดเปิดคอนโดสูงสุดกว่า 2.4 หมื่นยูนิต คาดช่วงที่เหลือเปิดอีกไม่น้อยกว่าหมื่นยูนิต
+ กรมสรรพากรทำความเข้าใจเรื่องการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
# กรมสรรพากรเชิญผู้แทนสมาคมค้าปลีกเข้าหารือทำความเข้าใจเรื่องการอนุญาตให้ผู้ประกอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่สมาคมค้าปลีกไปแถลงข่าวและทำให้เกิดความสับสนและไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไร ทั้งที่เรื่องนี้กรมสรรพากรได้ดำเนินการตามขั้นตอนเงื่อนไขเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุด 7-11 ได้ทดลองการดำเนินการ
-/+ สรท.คาดการส่งออกไทยปี 62 ขยายตัวชะลอกว่าปี 61
# ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยปี 62 ว่า เบื้องต้น สรท.ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกจะเติบโต 5% ซึ่งขยายตัวชะลอลงจากปี 61 ที่คาดจะเติบโตได้ 9% เนื่องจากฐานการส่งออกปี 61 ใหญ่ขึ้น ดังนั้น หากมูลค่าการส่งออกปี 62 เติบโตได้ 5% ถือว่าเป็นการขยายตัวดีอยู่ แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากสงครามการค้า โดยหากไทยได้รับผลกระทบทางตรงจากการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14772