- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 05 October 2018 17:11
- Hits: 5270
บล.ฟินันเซียไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic and Laggard Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าที่เราคาดโดยระหว่างวันลงไปทดสอบระดับ 1,720 จุดก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาปิดบริเวณ 1,730 จุด ติดลบ 12.56 จุด โดยแรงกดดันมาจากประเด็นงบประมาณขาดดุลของอิตาลีที่อาจส่งผลต่อฐานะการเงินของประเทศ ส่งผลให้สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้นอย่างหนาแน่น 3.4 พันลบ.และ 5 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short ใน Index Futures สูงถึง 1.5 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่ายังอยุ่ในช่วงแกว่งพักฐานโดยไร้ปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนและยังต้องติดตามประเด็นฐานะการเงินของอิตาลี ขณะที่คืนนี้จับตาตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานเดือน ก.ย. ของสหรัฐฯซึ่งหากออกมาดีกว่าคาดมีโอกาสทำให้ตลาดพุ่งเป้าไปที่ FED ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและกดดันให้กระแสเงินทุนยังอยู่ในทิศทางไหลออก อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของปัจจัยในประเทศทั้งเศรษฐกิจและการเมือง และคาดว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไป
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic และหุ้น Laggard //ทยอยสะสมกลับในช่วงลบ
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$1,157ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$473ล้าน ขณะที่ไหลออกจากไทย US$153ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยหลังทิศทางผลตอบแทนสหรัฐปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> HANA <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 45 บาท
แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q18 จะเติบโตดี Q-Q เบื้องต้นคาดราว 600 – 650 ลบ. แต่ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 770 ลบ. เพราะบาทเงินบาทแข็ง แต่การฟื้นตัว Q-Q มาจากทั้ง High Season และคำสั่งซื้อที่แกร่งมาก เพิ่งได้รับคำสั่งซื้อใน Smartphone แบรนด์จีน ในขณะที่ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มนิ่งแล้ว
คาดกำไรสุทธิปี 2018 จะลดลง 28% Y-Y เพราะฐานสูงปีก่อน แต่จะกลับมาโตในปี 2019 ราว 15.2% Y-Y และคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 4.4%
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเร่งตัวขึ้น โดยตัวอายุ 10 ปีปรับขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.19% ทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011จากข้อมูลภาคแรงงานของสหรัฐฯที่ออกมาดี และมุมมองของเฟดที่ยืนยันการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง วันนี้จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ตลาดคาด 185,000 คน ชะลอจาก 201,000 คน หากออกมาดีกว่าคาด จะยิ่งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตสหรัฐฯและ Dollar Index ปรับตัวขึ้นต่อ เงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่า กระแสเงินยังไหลออกชั่วคราว
(-) กำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยกำหนดให้มีเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับการกู้หลังที่ 2 ขึ้นไป หรือ ที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยต้องวางดาวน์อย่างน้อย 20% ของมูลค่าหลักประกัน (LTV limit 80%) และปรับเกณฑ์การนับสินเชื่อ top-up ที่ใช้หลักประกันเดียวกันให้สะท้อนความเสี่ยง ถือเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มอสังหาฯ จากการระบายสต็อกได้ช้าลงในปีหน้า แต่เรายังมองว่าผู้ที่มีสัดส่วนรายได้จากแนวราบมากอย่าง LH และ QH จะได้รับผลกระทบจำกัด ส่วนกลุ่มแบงก์คาดว่ากระทบไม่มาก เพราะสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสัดส่วน 17% และหลังจากนี้สินเชื่อที่มาจากการลงทุนขนาดใหญ่และภาคธุรกิจจะขยายตัวขึ้น แต่ยังแนะนำหลีกเลี่ยง SCB ที่มีสัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากสุดในกลุ่ม
คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 62 เป็นต้นไป
(+) DOD แนวโน้มกำไร 2H18 จะอ่อนตัวลงจาก 1H18 ตามปัจจัยฤดูกาล เบื้องต้นคาดกำไร 3Q18 ไว้ที่ราว 70-80 ล้านบาท อ่อนตัวลง Q-Q แต่เติบโตสูง Y-Y จากคาดคำสั่งซื้อของลูกค้ารายใหญ่จะอ่อนตัวลงตามสัญญาการส่งมอบ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่เพิ่มอย่างน้อย 3 ราย ในช่วง 4Q18 ต่อเนื่องไปในปี 2019 และยังมีแผนออกสินค้าใหม่ในกลุ่มความงามแต่อาจแตกไลน์เป็นกลุ่มสินค้าที่ใช้ภายนอก จากปัจจุบันที่ขายอาหารเสริมเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าโตต่อเนื่อง 20% Y-Y เราคาดกำไรสุทธิปี 2018 – 2019 โต 165% Y-Y และ 13% Y-Y ตามลำดับ ให้ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 18 บาท (อิง PE 18 เท่า)
(0) ICHI คาด 3Q18 พลิกมามีกำไรราว 9 ลบ. จากที่ขาดทุน -30 ลบ. ใน 2Q18 แต่ยังต่ำกว่า 3Q17 ที่มีกำไร 69 ลบ. สาเหตุของการฟื้นตัวมาจากการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาด และคาดส่วนแบ่งขาดทุนจากอินโดฯจะลดลง ส่วนแบรนด์ไบเล่ยังทำได้เพียงประคองตัว หลังจากนี้ จะเน้นเจาะตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น ภายหลังเปิดตัวชาเขียวชิซึโอกะ (ขวดละ 30 บาท) และได้รับการตอบรับที่ดี กอปรกับเน้นรุกต่างประเทศ ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ส่งออกอยู่ที่ 27% ของรายได้รวม ล่าสุดกำลังมีแผนเจาะตลาดจีน แต่เรามองว่าทำได้ไม่ง่าย เราปรับลดกำไรปี 2018 เหลือเพียง 27 ลบ. ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 315 ลบ. และคาดจะกลับมาโตได้เป็น 111 ลบ. ในปี 2019 จากฐานที่ต่ำ แม้ราคาหุ้นจะปรับลงมามาก แต่การฟื้นตัวในระยะถัดไปยังดูไม่สดใสนัก เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็นเพียงถือ จากเดิมขาย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5 ต.ค.- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ส.ค.) ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.ย.)
9 ต.ค.- เยอรมัน: ดุลการค้า (ส.ค.)
11 ต.ค.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
12 ต.ค.- จีน: ดุลการค้า (ก.ย.)
(-) ตลาดสหรัฐปรับตัวลงหลัง Bond Yield สหรัฐอายุ 10 ปีทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จากข่าวการโจรกรรมข้อมูลจากสายลับจีน
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงตาม Sentiment เชิงลบทางสหรัฐ
(-) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวลง โดยตลาดยังคงเผชิญแรงขายจากต่างชาติ หลัง Bond Yield สหรัฐปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ข่าวการโจรกรรมข้อมูลจากจีน ยังกดดันให้สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มจะแย่ลงไปอีก
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ลดลง 2.08 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 74.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีข่าวว่าซาอุฯและรัสเซียจะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อชดเชยกับของอิหร่าน
(-) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวลงแรง -11.8% ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 4.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 1.30 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1201.6 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO14680