- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 04 October 2018 17:27
- Hits: 3926
บล.ฟินันเซียไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic and Laggard Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index รีบาวด์ขึ้นได้หลังจากที่ปรับลงในวันก่อนหน้า โดยสามารถแกว่งตัวในแดนบวกได้ในช่วงครึ่งเช้าก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาและปิดลบอ่อนแอกว่าที่เราคาดโดยปิดลบ 6.13 จุด ณ สิ้นวัน โดยนักลงทุนยังคงจับตาประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนรวมถึงงบประมาณขาดดุลของอิตาลี ส่งผลให้สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้น 1.6 พันลบ.และ 1 พันลบ. ตามลำดับ
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่ายังอยู่ในช่วงแกว่งตัว Sideways สร้างฐาน โดยแรงกดดันหลักๆยังคงมาจากปัจจัยต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเราคาดดัชนีไม่น่าจะหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญบริเวณ 1,730 จุด และยังมีแรงหนุนสำคัญจากปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. ปีหน้าและโครงการภาครัฐที่จะเร่งออกมาในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลชุดนี้ เรายังมองจังหวะปรับตัวลงของตลาดเป็นโอกาสในการซื้อกลับหลังจากที่แนะนำทำกำไรระยะสั้นไปแล้วบริเวณ 1,760 จุดบวกลบ
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic และหุ้น Laggard //ทยอยสะสมกลับในช่วงลบ
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$94ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$41ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$31ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางพลิกกลับมาไหลเข้าภูมิภาคหลังตลาดลดความกังวลต่อสถานการณ์ที่อิตาลีและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> PTTGC <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 110 บาท
ได้ Sentiment เชิงบวกจากโรงงาน NATPET ในซาอุฯที่เกิดเหตุไฟไหม้ ขณะที่ แนวโน้มกำไร 3Q18 ที่ชะลอจากการปิดซ่อมเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้หมดแล้ว ซึงถ้ามองข้ามไป 4Q18 คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นยาวไปถึง 1Q19 จากโรงงานกลับมาผลิตได้ตามปกติ และ GRM ฟื้นตัวรับ High Season ปลายปี
คาดกำไรสุทธิปี 2018 +9.5% Y-Y เป็น 4.3 หมื่นลบ. และ +7% Y-Y เป็น 4.6 หมื่นลบ. ในปี 2019
PE แค่ 8.5 เท่า และปันผลสูง 5.4% เหมาะลงทุนช่วงตลาดผันผวน
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ตลาดยุโรปส่วนใหญ่พลิกมาบวก หลังค่าเงินยูโรรีบาวน์ครั้งแรกในรอบ 5 วัน เช่นเดียวกับ Bond yield อิตาลีที่เริ่มขยับลงเพราะรัฐบาลถูกดดันให้ลดขาดดุลการคลังลงเหลือ 2.2% ของ GDP ในปี 2020 และ 2.0% ปี 2021 จากแผนเดิมที่ขาดดุล 2.4% ของ GDP ทั้ง 3 ปี (ปี 2019-21) คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อการไหลออกของกระแสเงินต่างชาติ ที่กำลังกังวลต่อวิกฤติหนี้ยุโรปที่ทำท่าจะหวนกลับมาอีกรอบในระยะนี้ได้
(-) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ วันนี้ 13.00 น. ธปท.จัด Media Briefing แถลงนโยบายการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะบ้านหลังที่ 2 และ 3 เบื้องต้นคาดว่ามี 3 แนวทางที่นำมาใช้ คือ (1) คุมการปล่อยกู้เกินราคาสินทรัพย์ (2) คุมสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ที่สูงเกิน 90% (3) ลดอัตราหนี้สินต่อรายได้ ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อกลุ่มอสังหาฯโดยรวม และแบงก์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก คือ SCB รวมถึง KTB ที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อประเภทนี้และ NPL เร่งตัวขึ้น
(+) BGRIM แจ้งได้งานโรงไฟฟ้าไฮบริดที่สนามบินอู่ตะเภา เฟส 1 รวม 95 MW (โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 80 MW+พลังแสงอาทิตย์ 15 MW) คาดเริ่ม COD ภายในต้นปี 2021 กำลังผลิตที่ได้ใหม่นี้เป็นสัดส่วน 4.5% ของกำลังผลิตตามสัดส่วนลงทุนภายในปี 2022 ยังไม่รวมในเป้าปีนี้ที่ 32 บาท โดยแม้แนวโน้มกำไรปกติใน 3Q18 อ่อนลง Q-Q จากค่าก๊าซลูกค้าอุตฯ เพิ่ม แต่กำไรยังเพิ่มต่อเนื่อง Y-Y คงคำแนะนำซื้อ
(+) MALEE คาดผลงาน 3Q18 จะขาดทุนต่อเป็นไตรมาสที่ 2 และอาจจะขาดทุนมากขึ้น Q-Q เพราะรายได้แผ่วลงทั้งการขายในประเทศและส่งออก ในขณะที่ต้องเผชิญค่าใช้จ่ายทางการตลาดสูงขึ้น รวมถึงต้องรับรู้ขาดทุนจากบริษัทร่วมที่เริ่ม Operate ธุรกิจ แต่มองเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ แม้ 4Q18 จะคาดกลับมาฟื้นตัวได้ แต่มองแค่คุ้มทุนหรืออาจจะยังขาดทุนเล็กน้อย เพราะจะต้องรับรู้ขาดทุนจากบริษัทร่วมมากขึ้น เราปรับลดผลประกอบการปี 2018 พลิกเป็นขาดทุนครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ราว -30 ลบ. และคาดจะกลับมามีกำไรอีกครั้งในปี 2019 ราว 198 ลบ. โดยคาดหวังการกลับมาฟื้นตัวของตลาดน้ำผลไม้ในประเทศ รวมถึงคาดจะสามารถหาลูกค้าใหม่ๆมาชดเชยธุรกิจน้ำมะพร้าวส่งออกที่หดตัวลงไปได้ เราปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2019 ที่ 16.3 บาท (อิง PE เดิม 23 เท่า) แม้แนวโน้มยังดูไม่สดใส แต่มองผ่านผลงานแย่สุดใน 3Q18 แล้ว จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็นถือ จากเดิมขาย
(+) FTE มีความโดดเด่นในด้านเงินปันผลที่สูง 9-10% ต่อปี จากนโยบายปันผล 100% ของกำไรสุทธิ และ Valuation ที่ยังถูกมาก โดย PE2018-19 ต่ำเพียง 10-11 เท่า และมีเงินสดในมือ 0.50 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นส่วนเกินจากเงินทุนหมุนเวียน เราคาดว่าจะคืนให้กับผู้ถือหุ้นไม่ว่าจะด้วยรูปแบบเงินปันผลพิเศษหรือการซื้อหุ้นคืน ส่วนแนวโน้มผลประกอบการ 2H18 เราคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง เพราะมีงานโครงการที่เลื่อนจาก 1Q18 มารับรู้ใน 2H18 และ FTE เปลี่ยนกลยุทธ์มารับงานโครงการที่หลากหลายมากขึ้น เราปรับประมาณกำไรสุทธิปี 2018-2019 ขึ้นเฉลี่ย 22% ต่อปี และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 3.15 บาท เป็นเป็น 3.70 บาท อิง PE 17 เท่า แนะนำซื้อ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
5 ต.ค.- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ส.ค.) ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.ย.)
11 ต.ค.- สหรัฐฯ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
12 ต.ค.- จีน: ดุลการค้า (ก.ย.)
(+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นจากความเชื่อมั่นทางตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐที่ออกมาอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ยังต้องติดตามตัวเลข Bond Yield อายุ 10 ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ 3.18%
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น หลังความวิตกกังวลในอิตาลีเริ่มคลี่คลายลง หลังรัฐบาลอิตาลีมีแผนที่จะปรับลดเป้าการขาดดุลลง
(-) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินที่อ่อนค่าลง จะยิ่งซ้ำเติมการขาดดุลการค้าในหลายๆประเทศ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซียให้มากขึ้น
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.18 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 76.41 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
(-) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวลง -7.1% ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 4.10 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1202.9 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังความกังวลในอิตาลีเริ่มคลี่คลายลง
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO14633