เมื่อวานดัชนีฯหุ้นไทยดีดกลับ หลังจากพักฐานบนแนวโน้มขาขึ้นมาตลอด 7 วันทำการ โดยวันที่ลงแรงสุดคือวันที่ลงรับข่าว ผลประชุมเฟด ซึ่งส่งสัญญาณ นโยบายการเงินที่เข้มงวด ผิดคาด...เฟดย้ำนโยบายการเงินที่เข้มงวด ยกเลิก Accomodative monetary policy ออกจากแถลงการณ์ และ ส่งสัญญาณปรับดอกเบี้ยขึ้นปีหน้า 3 ครั้ง รวมถึงดอกเบี้ยระยะยาว ขยับขึ้นจาก 2.875% เป็น 3% แต่โบรกเกอร์ต่างชาติ รวมถึง MS ยังคงมุมมอง ขึ้นแค่ 2 ครั้งปีหน้า ดังนั้นเราเชื่อว่าผลกระทบจากข่าวนี้ จะกระทบบรรยากาศลงทุนแค่ช่วงสั้นๆ และดูได้จาก US Bond yield 10 ปี และ 2 ปี ลดลงเล็กน้อย โดยไม่นำพาต่อผลการประชุมเฟด  

  วันนี้ คาดตลาดหุ้นไทยจะบวกเล็กน้อย มีโอกาสทดสอบจุดสูงสุดเดิมรอบนี้ที่ 1,766 จุด ส่วนการทะลุผ่านคาดว่าจะเกิดภายในเดือน ตค.นี้ ซึ่งการย่อลงของราคาหุ้นบูลชิพเด่นๆของแต่ละกลุ่ม จะเป็นโอกาสในการช้อนซื้อ ทุกครั้ง

 

  (-/+) Liquidity drain จากการเปิดจองซื้อหุ้น IPO ขนาดกลาง-ใหญ่ จำนวนมากในช่วงนี้ เช่น OSP BGC PR9 ฯลฯ คาดจะทำให้นักลงทุน (กองทุน+ฝรั่ง+รายย่อย) อาจต้องกันเงินบางส่วนไว้จองหุ้น เพราะต้องกันเงินเผื่อ จากภาวะ Oversubscribe (ล้นจอง) แต่จะส่งผลดีต่อตลาดหลังจากหุ้นเหล่านี้เข้าตลาดไปแล้ว เพราะ สภาพคล่อง (อาจจะบวกโอกาสมีกำไรจากราคา IPO) จะกลับคืนสู่ตลาดอีกครั้ง  

  (+) กลุ่มรีเทลไฟแนนซ์ MTC SAWAD ECL แบงก์ชาติ พร้อมออกแนวทางกำกับดูแลสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ภายใน พย.61 นี้ / เรามองว่า เพดานดอกเบี้ยที่ 28% ตามที่แบงก์ชาติแนะนำนั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยที่ รีเทลไฟแนนซ์ ส่วนใหญ่เก็บกับลูกค้า โดยเฉพาะ MTC ที่เก็บเฉลี่ย 23% และ ECL ที่เก็บต่ำกว่าเกณฑ์ ส่วน SAWAD เก็บเต็มเพดาน 28% อยู่แล้ว (ดังนั้น SAWAD จะได้ประโยชน์น้อยสุดจากข่าวนี้) เราเชื่อว่าข่าวนี้จะสร้างความชัดเจนต่อการลงทุนหุ้นรีเทลไฟแนนซ์ และจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น MTC ECL ในระยะสั้น (Overhang สิ้นสุดลง) 

  (+) งบ 3Q18 อิงจาก Management guidance ที่เรารวบรวมมาจากการประชุมนักวิเคราะห์ ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีโอกาสที่ ตลาดจะได้เห็น Earnings beat estimated (กำไรดีกว่าคาด) อีกครั้ง   

  (+/-) แนวโน้มดอกเบี้ยภูมิภาคนี้ เป็นขาขึ้น...โดยเมื่อวาน ธ.กลางอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% และ 0.5% เป็น 5.75% และ 4.5% ตามลำดับ / หลังจากขยับดอกเบี้ยขึ้น เมื่อวาน พบว่าสามารถหยุดการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของค่าเงิน เปโซ และ รูเปี๊ยะห์ ได้ชั่วคราว ส่วนค่าเงิน บาท ที่แข็งค่า เทียบกับ เปโซ และ รูเปี๊ยะห์ กลับมาทรงตัวได้หลังจากแข็งค่าต่อเนื่องมากว่า 2 เดือน เรามองว่า มีโอกาสที่ Fund flows ฝรั่งจะไหลเข้าหุ้นไทย (และหนุนให้บาทแข็งค่าอีกรอบ) อิงจากแถลงการณ์ ธ.กลางส่วนใหญ่ในภูมิภาค ที่เราพบว่า ภาวะเศรษฐกิจมีความเปราะบางกว่าเศรษฐไทย

 

  SCCC ดูรายงานวันนี้ (เราแนะนำซื้อด้วยราคาเหมาะสมใหม่ 320 บ.) 

  BTS เก็งข่าว ออกวันจันทร์หน้า ว่า ปตท. จะเลือกเป็นพันมิตร เข้าประมูลงาน รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือไม่    

          

SCCC: Riding on domestic recovery and strong growth in Vietnam 

  แม้ว่าอุปสงค์ของซีเมนต์จะชะลอตัวใน 1H18 แต่การปรับขึ้นของราคา, การปรับปรุงประสิทธิภาพและการลดต้นทุนหนุนให้ EBITDA ขยายตัว เรามองว่าอุปสงค์ของซีเมนต์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนให้ทั้งรายได้และอัตรากำไรขยายตัว อีกทั้งเรายังมองว่าธุรกิจในเวียดนามจะเป็นตัวผลักดันกำไรให้เติบโตได้ดี เนื่องจากตลาดมีการเติบโตที่ดี และสถานที่ตั้งอยู่ในเวียดนามใต้ซึ่งอุปสงค์มากกว่าอุปทาน เราคาดกำไรปี 2018 เติบโต 99% YoY และเติบโตต่อเนื่องในปี 2019 อีก 21% YoY เราคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2019 ที่ 320 บาท

 

  หลังจากที่ Engagement marketing อย่าง Sport marketing (กับสมาคมฟุตบอล), music marketing (กับ BNK48) หนุนรายได้ส่วนเพิ่มให้กับ PLANB ร่วมถึง Synergies ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยผลักดันธุรกิจหลักอย่าง OOH ก้าวต่อไป PLANB ขยับเข้าไปสู่ eSport marketing โดยเริ่มจัดลีคในการแข่งขัน Thai e-League Pro PES2019 โดยได้รับการสนับสนุนจาก KONAMI เรามองว่า eSport เป็นตลาดที่ใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตของ PLANB ในระยะยาว เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ

 

  เราประเมินกำไรสุทธิ 4Q18 ที่ 205 ล้านบาท (งวด ส.ค.-ต.ค.) ลดลง 75% YoY แต่พลิกกลับจากขาดทุนสุทธิใน 3Q18 หากไม่รวมรายการพิเศษเราประเมินขาดทุนหลักที่ 95 ล้านบาท ขาดทุนน้อยลง 89% YoY และทรงตัว QoQ สำหรับภาพราคาน้ำตาลเรายังมองว่าจะยังถูกดดันจาก อุปทานส่วนเกินในตลาดโลกงวด 2018/19 ซึ่งเรามองราคาจะอยู่ในกรอบ 11-13 cents/lb ไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2019 เรามองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าสะสมหุ้นในกลุ่ม เรายังคงคำแนะนำ ถือ ทั้ง KSL และ BRR   

 

  (*) กลุ่มรีเทลไฟแนนซ์ MTC SAWAD ECL แบงก์ชาติ พร้อมออกแนวทางกำกับดูแลสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ภายใน พย.61 นี้ / เรามองว่า เพดานดอกเบี้ยที่ 28% ตามที่แบงก์ชาติแนะนำนั้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยที่ รีเทลไฟแนนซ์ ส่วนใหญ่เก็บกับลูกค้า โดยเฉพาะ MTC ที่เก็บเฉลี่ย 23% และ ECL ที่เก็บต่ำกว่าเกณฑ์ ส่วน SAWAD เก็บเต็มเพดาน 28% อยู่แล้ว (ดังนั้น SAWAD จะได้ประโยชน์น้อยสุดจากข่าวนี้) เราเชื่อว่าข่าวนี้จะสร้างความชัดเจนต่อการลงทุนหุ้นรีเทลไฟแนนซ์ และจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น MTC ECL ในระยะสั้น (Overhang สิ้นสุดลง) (ที่มา ธปท. BLS research) 

  (+) PTT  จ่ายปันผลเดือนตุลาคมนี้ตามคำสั่งคลัง คาดไม่ต่ำกว่า 0.80 บาทต่อหุ้น ส่งเป็นรายได้เข้าคลังงบปี 62 จำนวน 1.16 หมื่นล้านบาท อัตราผลตอบแทนสูงกว่าปีก่อน ส่วนวันนี้ประชุมบอร์ดปตท. คัดเลือกพันธมิตร BEM หรือ BTS ร่วมกันประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ที่มา ข่าวหุ้น) 

  (+) ECL  เผยไตรมาส 3/2561 ยอดปล่อยสินเชื่อตามเป้าหมาย พร้อมขยายฐานลูกค้ารถจดประกอบ-รถเก่ามากขึ้น ลดการแข่งขันในอุตสาหกรรม หนุนยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปี 2561 อยู่ที่ 3,600 ล้านบาท คุม NPL ทั้งปีต่ำ 3.5% ลุยออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 600 ล้านบาท อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 2.20% เปิดให้รายใหญ่จอง 2-4 ต.ค. นี้ (ที่มา ทันหุ้น)