WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
“รอปัจจัยใหม่ๆ หลังเรื่องเฟดตามคาด”
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ขยับขึ้น +1.94 จุด ปิดที่ 1749.93 จุด เกิดแรงซื้อเก็งกำไร และถือว่าใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายเบาบางเป็น 48.7 พันล้านบาท เพราะนักลงทุนยังติดตามมุมมองต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จาก การประชุมของเฟด ขณะที่มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 26 ก.ย.นี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี กลับลดเล็กน้อย 3.09% แล้ว ที่น่าแปลกใจคือ ดอลลาร์สหรัฐกลับมาอ่อนค่า หลังจีนตัดสินใจไม่เจรจากับสหรัฐฯ ส่วนราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังโอเปกคงกำลังการผลิต หุ้นปรับตัวขึ้นดี โดยเฉพาะ GULF, ADVANC และ AMATA ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น รายย่อย 0.6 พันล้านบาท ต่างประเทศ 0.1 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ สถาบัน 0.6 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.1 พันล้านบาท
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นคาดว่า SET จะไม่ถูกกระทบนักจากเรื่องเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย และจะขึ้นต่อไปอีก เพราะเป็นไปตามคาด แต่จะรอปัจจัยใหม่ๆมากกว่า และดัชนียังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มพลังงานที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงต่อเนื่อง แม้วานนี้ปรับลงเล็กน้อยก็ตาม มีการทำ Window Dressing ก่อนปิด 9M61 แต่ปัจจัยต่างประเทศช่วงสั้นที่ไม่สดใสมาจากเรื่องการใช้ภาษีนำเข้าจีน-สหรัฐ จีนเมินไม่เจรจากับสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ล่าสุดต่ำลงเป็น 3.0554% ดัชนีความกลัว (VIX) ปรับเพิ่มเป็น 12.89 จุด ตลาดหุ้นเพื่อนเช้านี้แกว่งแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +25 จุด ณ 8:01 น. น้ำมันปรับขึ้น ด้านปัจจัยในประเทศที่ยังดีคือ ตัวเลขส่งออก ส.ค.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเลือกตั้งตามโรดแมป สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ราคาน้ำมันผันผวน ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลายด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดี คือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1730-1770 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% แนะนำให้ทยอยสะสมได้
  Update หุ้นเด่น: HMPRO – คาดว่ากำไรในงวด 3Q61 จะเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก แม้ว่าอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) จะไม่ถึงกับน่าตื่นเต้นคือ ทรงตัว y-o-y เพราะฐานปีที่แล้วสูง แต่แรงผลักดันคือ สาขาเพิ่มขึ้น เน้นจำหน่ายสินค้าแบรนด์ตนเอง เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และดอกเบี้ยจ่ายลด จากการทำรีไฟแนนซ์ จะมีการเพิ่มจำนวนสาขาในรูปแบบ HomePro S จำนวน 4 แห่งในงวด 4Q61 บริษัทจะไม่เน้นเปิดสาขามากๆ แต่เน้นความสามารถการทำกำไรมากกว่า คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 17.50 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators ทรงๆเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1760-1770 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1730 จุด
  สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ THANI, SCP, AMATA, CKP, STA, PTTGC, HMPRO, TKS หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PTL, PYLON, SENA, AUCT หุ้นที่หลุด List UV, SYNTEC, ERW หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ RS, PTT, AEONTS, SYNEX, ASAP, MINT
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ลดลง หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาด
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,385.28 จุด ลดลง 106.93 จุด หรือ -0.40% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,905.97 จุด ลดลง 9.59 จุด หรือ -0.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,990.37 จุด ลดลง 17.10 จุด หรือ -0.21%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 ส.ค.) หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% พร้อมส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ แถลงการณ์ของที่ประชุมเฟดยังได้ตัดข้อความ "จุดยืนด้านนโยบายการเงินของเฟดยังคงมีความผ่อนคลาย" ซึ่งเป็นข้อความที่มักปรากฏในแถลงการณ์ของเฟดในช่วงที่ผ่านมา
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง สต็อกสูงเกินคาด
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 71 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 71.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 53 เซนต์ หรือ 0.76% ปิดที่ 81.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์น้ำมันของอิหร่านอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้เวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) กดดันชาติพันธมิตรให้ร่วมคว่ำบาตรอิหร่าน
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 6 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,199.1 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่เฟดจะแถลงมติการประชุม
-/+ เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณปรับขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
  # คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้
  # ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย. โดยเฟดบ่งชี้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ และจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า
  # นอกจากนี้ เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมที่ 2.8% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ในปีหน้าสู่ระดับ 2.5% จากเดิมที่ 2.4% ส่วนการขยายตัวในปี 2563 ยังคงอยู่ที่ระดับ 2% ขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวในปี 2564 จะอยู่ที่ 1.8% เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวในระยะยาว
- ยอดขายบ้านใหม่ ส.ค.ดีดตัวขึ้น
  # กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดขายบ้านใหม่ดีดตัวขึ้น 3.5% ในเดือนส.ค. แตะระดับ 629,000 ยูนิต หลังจากที่ปรับตัวลงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่ราคากลางของบ้านใหม่ในช่วงเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 1.9% เมื่อเทียบเป็นรายปีสู่ระดับ 320,000 ดอลลาร์
- ดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
  # ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ และยังได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในการประชุมเดือนธ.ค.
• สหรัฐเจรจาการค้ากับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ยังไม่เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น
  # รัฐบาลญี่ปุ่นและสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันภายหลังการประชุมทวิภาคีระหว่างนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐตกลงที่จะเริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคี โดยสหรัฐจะไม่เรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินอยู่
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ แนวโน้มการเติบโตสินเชื่อปีนี้มีโอกาสขยายตัวสูงกว่ากรอบประมาณการ
  # ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แนวโน้มสินเชื่อธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศปี 2561 มีโอกาสขยายตัวสูงกว่ากรอบประมาณการที่คาดไว้ที่ 4.8-5.3% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากสินเชื่อรายย่อยที่คาดว่าจะโตดีในทุกองค์ประกอบทั้งสินเชื่อเช่าซื้อที่ได้แรงหนุนจากยอดขายรถใหม่ที่สูงกว่าเป้าหมายเดิม สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่คงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นนอกจากนี้ การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงท้ายปีอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นสินเชื่อภาคธุรกิจและบรรเทาผลกระทบจากการชำระคืนหนี้รายใหญ่ลง
  # ผลกระทบ: DBSVTH ให้ BBL และ KKP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เรายังคงให้ BBL (ราคาพื้นฐาน : 218 บาท) เป็น Top Pick ในแบงค์ใหญ่ เนื่องจากได้อานิสงค์ทางบวกจากการลงทุนฟื้นตัว เพราะธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจสูง แต่ส่วนเพิ่มที่น้อยลง ควรรอซื้ออ่อนตัว และ KKP (ราคาพื้นฐาน: 92 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มปันผลสูง โดยคาดการณ์เงินปันผลปีนี้ไว้ที่ 5 บาท/หุ้น ณ ราคาปิด 75.25 บาทคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) 6.6%
+ ธปท.อนุญาตให้ธนาคารเพิ่มวงเงินสูงสุดในการโอนเงิน
  # ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มวงเงินสูงสุดในการโอนเงิน สำหรับการโอนเงินด้วยเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคาร ตั้งแต่ ต.ค.61 เป็นต้นไป จากวงเงินเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50,000 บาท/รายการ เป็นไม่เกิน 699,999 บาท/รายการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง internet banking และ mobile banking ในแต่ละรายการได้สูงขึ้นโดยไม่ต้องแยกทำรายการหลายครั้ง สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน และช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจการเงินของประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานต่างๆ
+ ภาคเอกชนส่วนใหญ่ประเมินว่าการส่งออกปีนี้โตกว่าเป้าที่ 9%
  # อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึง แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 61 โดยมั่นใจว่า มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 8% แต่จากการหารือกับภาคเอกชน ส่วนใหญ่ประเมินว่าน่าจะโตถึง 9% ขณะที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ มองว่าจะโตได้ในระดับ 8-10% เพราะแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์จะประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 18 ต.ค.61 ซึ่งเป็นช่วงการประชุมทูตพาณิชย์ ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงจะประเมินตัวเลขการส่งออกสำหรับปี 62 ด้วย
+ แกรนท์ ธอนตัน เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก
  # แกรนท์ ธอนตัน เชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก ตามการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นปลายปี ประกอบภาครัฐเร่งผลักดันการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขณะที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยมองว่าสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งกระทบต่อไทยในบางธุรกิจเท่านั้น ส่วนตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน
 
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14366

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!