- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 24 September 2018 18:05
- Hits: 2685
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เริ่มเก็บภาษีสหรัฐ-จีนวันนี้ แม้อัตราต่ำกว่าคาด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index ปรับขึ้นเล็กน้อย +4.01 จุด ปิดที่ 1756.12 จุด เกิดแรงขายทำกำไรหลังไปทำยอดสูงสุดถึง 1766.62 จุด เหมือนกับวันพุธ-พฤหัส ถือว่าปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แต่มูลค่าการซื้อขายดีเป็น 78.6 พันล้านบาท แรงบวกมาจากดาวโจนส์ทำ New High คาดว่ายังมีกระแสเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน การเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น และอาจมีการทำ Window Dressing ปิดงวด 9M61 รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศเป็นบวกเพิ่มขึ้นจากการที่จีนโต้ตอบสหรัฐแต่เก็บอัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าคาด ขณะที่มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้ รับรู้ไปพอควรแล้ว ด้านผู้ขายสุทธิยังเป็นรายย่อย 2.0 พันล้านบาท และ ต่างชาติ 0.6 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ พอร์ตโบรกเกอร์ 2.0 พันล้านบาท และ สถาบัน 0.6 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ถูกท้าทายบ้างจากวันนี้เป็นวันที่เริ่มสหรัฐ-จีนเก็บภาษีนำเข้าซึ่งกันและกัน ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งลบ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -79 จุด (8.35 น.) บาทกลับมาอ่อนค่า และใกล้วันประชุมเฟด ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% แต่ปัจจัยที่ยังเป็นบวกคือ ตลาดคลายความกังวล สงครามการค้า เพราะทั้งสหรัฐและจีนจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าคาด ดัชนีความกลัว (VIX) อยู่ในระดับต่ำ 11.7 จุด ดาวโจนส์ปรับขึ้นทำ New High ต่อ การทำ Window Dressing ขณะที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นที่คาดไว้อยู่แล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ล่าสุดเป็น 3.0647% ด้านปัจจัยในประเทศยังดีคือ ตัวเลขส่งออก ส.ค.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเลือกตั้งตามโรดแมป สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ราคาน้ำมันผันผวน ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น และเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ช่วงนี้ SET เปิดช่วงแรกขึ้นแรง แต่ปิดบวกน้อย ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1730-1770 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% แนะนำให้ทยอยสะสมได้
Update หุ้นเด่น: WHA – หลังกำไร 2Q61 น่าผิดหวัง เพราะโอนนิคมฯน้อยและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมาก แต่ 3Q61 คาดกลับมาคลี่คลาย มีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ส่วน 4Q61 ดีที่สุดเพราะมีขายสินทรัพย์เข้า REIT ยังคงเป้ายอดขายนิคมฯ 1.4 พันไร่ และให้บริการคลังสินค้าได้เป้า 2.5 แสนตรม. แนะนำซื้อ ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งชัดเจน นักลงทุนต่างประเทศมั่นใจขึ้น ราคาปิดมีส่วนเพิ่มจากราคาพื้นฐานที่ 4.72 บาท อีก 9%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1760-1770 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1730 จุด
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นต่อ ทำยอดสูงสุดใหม่ แต่ Nasdaq ปรับลง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,743.50 จุด เพิ่มขึ้น 86.52 จุด หรือ +0.32% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.67 จุด ลดลง 1.08 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,986.96 จุด ลดลง 41.28 จุด หรือ -0.51%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมรวมถึงหุ้นบริษัทโบอิ้งซึ่งมีการลงทุนจำนวนมากในจีนนั้น ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดร่วงลงกว่า 0.5% หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล)
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น เก็งการประชุมไม่เพิ่มการผลิตน้ำมัน และผลก็ออกมาจริง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 70.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 78.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ย.) จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรก่อนที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่ม ซึ่งได้แก่ รัสเซีย จะจัดการประชุมในวันอาทิตย์นี้ที่ประเทศอัลจีเรีย เพื่อหารือเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมัน
# การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงรัสเซีย ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศแอลจีเรียเมื่อวานนี้ เห็นพ้องให้คงปริมาณการผลิตเอาไว้ที่ระดับปัจจุบัน แม้สหรัฐพยายามเรียกร้องให้โอเปกเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันก็ตาม
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 10 ดอลลาร์ หรือ 0.83% ปิดที่ 1201.3 ดอลลาร์/ออนซ์ และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นน้อยกว่า 0.1%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์นอกจากนี้ การที่ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยังส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นการลงทุนในตลาดหุ้น
-/• ตลาดจับตาสหรัฐ-จีนเตรียมบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้ารอบใหม่วันนี้ ท่ามกลางข่าวจีนเมินเจรจาสหรัฐ
# มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่สหรัฐและจีนจะนำมาใช้ตอบโต้กันนั้น จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า จีนได้ยกเลิกแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่มีแผนว่าจะเจรจาร่วมกันในสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตัน
+ ตลาดคลายความกังวล หลังจีนตอบโต้สหรัฐ แต่อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าคาด
# รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราภาษี 5-10% เป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับ 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
# การที่สหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งล่าสุดในอัตราที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์นั้น ได้ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจ
- ดอลลาร์แข็งค่า เงินปอนด์อ่อนค่า หลัง Brexist เริ่มไม่ราบรื่น
# สกุลเงินปอนด์ร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า อังกฤษอาจจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่สามารถทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรปได้หลังจากการเจรจาระหว่างสองฝ่ายประสบภาวะชะงักงัน
-/• คาดกันว่าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้ แต่คาดไว้อยู่แล้ว
# นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ ขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ จากตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย.
+ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการออกมาอ่อน
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 53.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของภาคบริการ แม้ว่าภาคการผลิตปรับตัวขึ้น
# อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-/• กระทรวงพลังงานยืนยันเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียม แม้มีเสียงคัดค้าน
# รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ยืนยันเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกชและเอราวัณตามกำหนดเดิม คาดใช้เวลา 2 เดือน พิจารณาตัดสินและทราบผู้ชนะประมูลในปลายปีนี้ ท่ามกลางกระแสคัดค้าน เพราะเห็นว่าไม่โปร่งใสและรัฐได้รับผลประโยชน์ไม่คุ้มค่า (TPBS)
# พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ผู้ประสานงานสภาพลังงานเพื่อประชาชน แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก กรณีที่นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องการให้กลุ่มข้องใจในประเด็นการเปิดซองประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณ สามารถสอบถามที่กระทรวงพลังงานและยังยืนยันที่จะเปิดซองประมูลแหล่งก๊าซฯ ทั้ง 2 แหล่ง (TPBS)
# ผลกระทบ: อาจส่งผลจิตวิทยาทางลบต่อ PTTEP และ PTT ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้ หากต้องเลื่อนการเปิดประมูลออกไป แต่หากไม่มีการเลื่อนคือยังเป็น 25 ก.ย.61 หรือการเปิดประมูลยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ก็จะไม่มีผลกระทบ
+/• ภาคประชาชนเสนอขอปรับลดภาษีจากคณะอนุกรรมการแก้ไขประมวลรัษฎากร
# การขอปรับลดภาษี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสนอให้แบ่งรายได้เป็น 3 ประเภท ให้หักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 แสนบาทที่ใช้ในปัจจุบัน และอัตราสูงสุดที่เสีย แก้เป็น 25% จากเดิม 35% และเริ่มจดทะเบียนภาษีแวตเมื่อมีรายได้เกิน 10 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ 1.8 ล้านบาท (ข่าวสด)
# ผลกระทบ: หากนำมาใช้จริง จะส่งผลดีต่อหลักทรัพย์ที่เกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอยประชาชน เพราะจะมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จากการเสียภาษีที่น้อยลง กลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น พาณิชย์ เกษตร-อาหาร และสื่อสาร เป็นต้น แต่ยังไม่ได้มีข่าวว่ากรมสรรพากรได้อนุมัติ จึงยังไม่ได้ส่งผลบวก ต้องติดตามข่าวต่อไป
+ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูล ยอดส่งออกส.ค.61 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
# ส.ค.61 ส่งออกโต 6.68% จากตลาดคาดโต 4.5-4.75% มูลค่า 22,794 ล้านเหรียญฯสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 23,382.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 22.8% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 588 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
# สำหรับการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรกปี 61 (ม.ค.-ส.ค.61) มีมูลค่า 169,030.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 10.03% ด้านการนำเข้ามีมูลค่า 166,678.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15.89% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 2,351 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
# ผลกระทบ: ถือว่าการส่งออกของไทย ส.ค.เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ถือว่าขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 แล้ว สิ่งที่น่าสังเกตและเป็นข้อดีคือ การส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ ในเดือนนี้กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.6% จากเดือนก่อนที่ติดลบ, ตลาดยุโรป ลดลง 4.3%, ตลาดจีน ขยายตัว 2.3% และตลาดญี่ปุ่น ขยายตัว 14.6% เห็นว่าตลาดเอเซียมีความสำคัญ และจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐฯ ที่มีเรื่องสงครามการค้า การส่งออกถือว่าเป็นส่วนผลักดันสำคัญให้ GDP ไทยเติบโตสูง และมีส่วนผลักดันให้ SET ปรับตัวขึ้นดี
-/• คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประชุมสัปดาห์นี้ จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
# คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.75-2.00% เป็น 2.00-2.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 กันยายน 2561
# ผลกระทบ: แม้ดูเหมือนเป็นข่าวลบ แต่ผลกระทบกับ SET มีโอกาสจะไม่หนัก เพราะรับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ด้านความผันผวนของค่าเงินบาทจะยังมีอยู่ เพราะในกรณีเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินบาทควรจะอ่อนค่า เนื่องจากเงินทุนจะไหลกับไปสหรัฐ แต่ปัจจุบันอยู่ในลักษณะแข็งค่า เพราะคาดว่าไทยกำลังมีทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น และมีภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พึ่งพิงหนี้ต่างประเทศน้อย แต่สำหรับประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอ ก็จะมีค่าเงินที่อ่อน และอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ปัญหาค่าเงินอ่อน
+/• "แอปเปิล"เริ่มจำหน่าย iPhone XS Max/iPhone XS ในกว่า 30 ประเทศศุกร์ที่ผ่านมา
# แอปเปิล อิงค์เริ่มวางจำหน่าย iPhone XS Max และ iPhone XS ในกว่า 30 ประเทศในวันนี้ ซึ่งรวมถึง สหรัฐ อังกฤษ เบลเยียม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
# อย่างไรก็ดี บรรยากาศการตอบรับ iPhone รุ่นใหม่ของสาวกแอปเปิลมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยบรรยากาศค่อนข้างคึกคักในตลาดเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่จะเงียบเหงาในตลาดยุโรป เช่น อังกฤษ และเบลเยียม (Aspen)
# ผลกระทบ: ตลาดไทยก็รอวันที่จะมาจัดจำหน่าย ส่วนหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องเช่น COM7, SYNEX. JMART, IT และ SPVI (บริษัทในกลุ่ม IT) หุ้นได้ปรับขึ้นรับข่าวไปบางส่วนแล้ว การเข้าเก็งกำไรจึงอาจต้องระมัดระวังมากขึ้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14176