- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 18 September 2018 20:50
- Hits: 1535
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดตอบรับโอกาสที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งตามกรอบเวลาดีเกินคาดเทียบกับอดีตตลาดหุ้นจะตอบรับก่อนเลือกตั้ง 6 เดือนโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.84% ขณะที่คาดว่าต่างชาติยังไม่กลับลำมาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องแต่เป็นซื้อ-ขายสลับช่วงสั้นเท่านั้นและยังให้น้ำหนักสงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจโลกกลยุทธ์ให้ขายทำกำไรรายหุ้นโดยเฉพาะหุ้นน้ำมันที่เกินFair value (PTTEP) และสะสมหุ้นDomestic Play ที่จะได้ประโยชน์จากกระแสการเลือกตั้ง (CPALL, BJC, SEAFCO) หรือที่มีเงินสดสุทธิ (MACO) Top picks วันนี้เลือกCPALL(FV@79) ราคาหุ้นลดลงจนมีupside 15.3% และTFG(FV@B<span<; a=""> lang="TH">5) นักวิเคราะห์ASPS ปรับเพิ่มประมาณการปีละ 10% ทำให้มูลค่าหุ้นขึ้น 11%
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. ตลาดฯบวกแรงรับเลือกตั้งชัดเจนขึ้น
วานนี้ดัชนีตอบรับเชิงบวกจากปัจจัยในประเทศในประเด็นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 ตามกรอบเวลาที่ให้ไว้แรงเกินคาดหนุนดัชนีบวกตลอดทั้งวันและปิดตลาดที่ 1717.96 จุดเพิ่มขึ้นแรง 38.57 จุดหรือ 2.30% พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 7.9 หมื่นล้านบาทและหนุนดัชนีขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรมนำโดยธนาคารพาณิชย์ (KBANK BBL SCB) ค้าปลีก (CPALL BJC) นิคมฯAMATA WHA และรับเหมาฯ (UNIQ CK ITD) รวมถึงพลังงานทั้งPTT, PTTEP เพิ่มขึ้น 5.05% และ 4.96% หลังEIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบลดลงกว่าคาด
แนวโน้มตลาดฯวันนี้คาดว่าSET Index น่าจะเผชิญกับแรงขายระยะสั้นเนื่องจากการปรับตัวขึ้นที่แรงเกินไปวานนี้โดยน่าจะมีแนวรับ 1700 จุดโดยยังให้น้ำหนักต่อปัญหาภายนอกที่ถ่วงเศรษฐกิจโลกและมากกว่าการเมืองในประเทศที่เดินหน้าเลือกตั้งแต่เชื่อว่าเป็นอารมณ์ชั่ววูบ
เงินเฟ้อสหรัฐต่ำคาดแต่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเดือนก.ย.
วานนี้สหรัฐรายงานเงินเฟ้อเดือนส.ค. ที่ 2.7%yoy ต่ำกว่าตลาดคาด 2.8% และลดลงจาก 2.9% ในเดือนก.ค. เพราะสินค้าในหมวดลดลงคือเสื้อผ้าลดลง 1.4%, ค่าโดยสารเครื่องบินลดลง 1.3% แต่หมวดอาหารและพลังงานยังเพิ่มขึ้นเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดกดดันให้Dollar index อ่อนค่าในช่วงสั้นอย่างไรก็ตามยังเงินเฟ้อสูงกว่าดอกเบี้ยฯที่ 2% จึงคาดว่าในการประชุมFed 25-26 ก.ย. จะยังขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สะท้อนจากผลสำรวจของBloomberg คาดโอกาสสูง 97.5% และจะอีก 1 ครั้งในการประชุมรอบธ.ค. (จากการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้ง) ขณะที่ปี 2562 และ 2563 มีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยฯราว 3 ครั้งและ 2 ครั้งตามลำดับซึ่งทำให้ให้ดอกเบี้ยฯณสิ้นปี 2561 - 2563 อยู่ที่ราว 2.5%, 3.25% และ 3.75% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์หน้าจะเริ่มมีการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอีกหลังหลังจากที่การเจรจาล้มเหลวมาหลายรอบเนื่องจากสหรัฐเชื่อว่าถือไพ่เหนือกว่าจีน (สหรัฐขาดดุลการค้าจีนทำให้การตอบโต้การค้าสหรัฐของจีนทำได้จำกัด) ซึ่งถือเป็นว่าตลาดหุ้นโลกผ่อนคลายในช่วงสั้น
และวานนี้ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และยุโรป (ECB) เป็นไปตามตลาดคาดกล่าวคือBOE ยังคงดอกเบี้ยฯที่ 0.75% หลังขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของปีไปเมื่อเดือนส.ค. แม้เงินเฟ้อเดือนก.ค. สูง 2.5% (เป็นผลจากค่าเงินปอนด์อ่อนค่าราว 12.3% ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าในอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น) ทั้งนี้ตลาดคาดว่าอังกฤษน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในปี 2562
ส่วนECB ยังคงดอกเบี้ยฯ 0% แม้เงินเฟ้อจะสูง 2% และคงมาตรการQE วงเงินเหลือ 1.5 หมื่นล้านยูโร/เดือน(เดิม 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน) ตั้งแต่ต.ค. - ธ.ค. 2561 ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกยังฟื้นตัวไม่สม่ำเสมอหรือฟื้นตัวเพียงบางประเทศ ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายน่าจะเลื่อนไปเป็น 2Q62 หลังจากสิ้นสุดการใช้QE ดังกล่าว
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสเลือกตั้งเน้นหุ้นLaggards
วานนี้หลากหลายปัจจัยบวกพุ่งเข้ามาทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน, การกลับมาเจรจาการค้าอีกครั้งของจีน-สหรัฐและที่สำคัญที่สุดคือพัฒนาการทางการเมืองที่ชัดเจนยิ่งขึ้นช่วยหนุนให้SET Index ทะยานกว่า 38.5 จุดหรือ 2.30% (สูงสุดในปีรอบเกือบ 2 ปี) ด้วยมูลค่าซื้อขายที่สูงเกือบ 8 หมื่นล้านบาทอย่างไรก็ดีเชื่อว่าตลาดฯน่าจะตอบรับประเด็นการเลือกตั้งเร็วและแรงเกินไปเนื่องจากสถิติในช่วง 6 เดือนก่อนมีการเลือกตั้ง (6 ครั้งหลังสุด) ชี้ให้เห็นว่าSET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.84% เท่านั้น (ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ใน 6 ครั้ง) อีกทั้งเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในระดับที่ไม่สูงมากโดยมียอดซื้อสุทธิเฉลี่ยเพียง 2.6 พันล้านบาท/ครั้งในช่วง 6 เดือนก่อนเลือกตั้ง (เป็นการซื้อสุทธิ 2 ใน 6 ครั้ง)
และจากผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณเชื่อว่าตลาดฯคาดหวังประเด็นเลือกตั้งรวมถึงโอกาสที่Fund Flow จะกลับเข้ามาหนุนมากเกินไปขณะที่พรรคการเมืองยังไม่สามารถดำเนินการใดๆที่เป็นการหาเสียงในการเลือกตั้งได้จนกว่าหลังจาก 11 ธ.ค.2561 (ทิ้งช่วง 90 วัน) ซึ่งเป็นวันที่พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีผลบังคับใช้บวกกับปัจจุบันมีหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทปรับตัวขึ้นแรงจนมีUpside จำกัดจึงควรระวังแรงขายทำกำไรออกมาและช่วงเวลาแบบนี้นักลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น (Selective Buy) โดยฝ่ายวิจัยฯแนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบดังนี้
เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง, ราคายังLaggard คือBANPU(FV@B<span<; a=""> lang="TH">25.6), CENTEL(FV@B<span<; a=""> lang="TH">56), BGRIM(FV@B<span<; a=""> lang="TH">32), LPN(FV@B<span<; a=""> lang="TH">13.5) และTFG(FV@B<span<; a=""> lang="TH">5) นักวิเคราะห์ASPS เพิ่งปรับเพิ่มFair Value เป็น 5 บาทจากการส่งออกไก่ดีขึ้น
เลือกหุ้นรับเหมาฯและวัสดุก่อสร้างตอบรับSentiment เลือกตั้งคือCK(FV@B<span<; a=""> lang="TH">32), SEAFCO(FV@B<span<; a=""> lang="TH">11), SCC(FV@B<span<; a=""> lang="TH">530) และSCCC(FV@B<span<; a=""> lang="TH">258)
เลือกหุ้นDomestic เกาะกระแสการเมืองในประเทศคือADVANC(FV@B<span<; a=""> lang="TH">230), BJC(FV@B<span<; a=""> lang="TH">69) และแนะนำเก็งกำไรCPALL(FV@B<span<; a=""> lang="TH">79) ราคาปรับฐานมาแรงจนมีUpside สูง รวมถึงสื่อโฆษณาที่มีupside MACO([email protected])
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของTFG ปีละ 10% และเพิ่มมูลค่าหุ้น 11%
นักวิเคราะห์ASPS มีมุมมองต่อTFG (FV@B<span<; a=""> lang="TH">5) ที่ดีขึ้นโดยคาดว่าผลกำไร 2H61 จะฟื้นตัวชัดเจนจากตลาดส่งออกไก่มากที่ดีขึ้นโดยเฉพาะยุโรปที่มีความต้องการไก่ไทยมากหลังจากที่ได้ห้ามนำเข้าไก่จากบราซิลเนื่องจากสินค้าไม่ได้มาตรฐานซึ่งก็ส่งผลให้ราคาส่งออกไก่ไทยสู่ยุโรปปรับสูงขึ้นด้วยนอกจากนี้TFG ได้เริ่มส่งออกขาไก่และปีกไก่สู่จีนแล้วตั้งแต่งวด 3Q61 และจะเริ่มส่งออกไก่แปรรูปปรุงสุกสู่ญี่ปุ่นตั้งแต่งวด 4Q61 เป็นต้นไปเช่นเดียวกับธุรกิจสุกรฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกันจากทิศทางราคาสุกรในประเทศฟื้นตัว
ขณะที่TFG มีแผนขยายกำลังการผลิตไก่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อรองรับการเติบโตใน 2 ปีข้างหน้าตั้งแต่โรงงานอาหารสัตว์โรงฟักไข่ไก่โรงงานชำแหละไก่และโรงงานไก่แปรรูปปรุงสุก
ด้วยปัจจัยบวกรอบด้านทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2561-62 ขึ้น 7.6% และ 11.6% จากเดิมสะท้อนปริมาณการส่งออกดีกว่าคาดและรวมโรงงานไก่แปรรูปปรุงสุกและโรงงานอาหารสัตว์แห่งใหม่ไว้ในประมาณการทั้งนี้ภายหลังปรับปรุงประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2561 จะลดลงถึง 36.0% yoy จากปัญหาไก่และสุกรล้นตลาดในงวด 1Q61 อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2562 จะพลิกกลับมาเติบโตถึง 48.2% yoy จากฐานกำไรที่ต่ำในปีก่อนและแนวโน้มปริมาณจำหน่ายไก่และสุกรเพิ่มขึ้นFair value ปี 2561 ใหม่เท่ากับ 5 บาท (เดิม 4.50 บาท) อิงวิธีDCF (WACC 7.13%)
ต่างชาติกลับมาซื่อหุ้นไทยแต่น่าจะเป็นการซื้อสลับ-ขายสั้นๆ
วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 223 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) โดยแรงขายที่เกิดขึ้นมากจากตลาดหุ้นเกาหลีใต้ซึ่งถูกขายสุทธิมากสุด 266 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามด้วยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 13 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 9) และฟิลิปปินส์ 7 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 11) ยกเว้น 2 ตลาดหุ้นคือไต้หวันสลับมาซื้อสุทธิ 2 ล้านเหรียญและไทยต่างชาติสลับมาซื้อเป็นวันแรกนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมมูลค่าราว 61 ล้านเหรียญหรือ 2 พันล้านบาทตอบรับประเด็นการเลือกตั้งไทยมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ขายสุทธิติดต่อกัน 14 วันยอดขายสุทธิกว่า 2.04 หมื่นล้านบาทขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิสูงถึง 1.14 หมื่นล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ต่อจากนี้ต้องรอดูท่าทีของการเมืองจะสามารถหนุนให้Fund Flow ไหลกลับมาตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทยต่างชาติซื้อสุทธิ 2 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) โดยเป็นการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น (T<1) 360 ล้านบาทและตราสารหนี้ระยะยาว (T>1) 1.65 พันล้านบาท
หากFlow ไหลกลับบ้างจะดันดัชนีซื้อขายP/E 15-16 เท่า
วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้Sentiment เชิงบวกจากการเมืองที่ชัดเจนขึ้นโดยคาดว่าจะเห็นการเลือกตั้งได้เร็วสุด 24 ก.พ.2562 หรืออย่างช้าสุด 5 พ.ค. 2562 อย่างไรก็ตามยังให้น้ำหนักประเด็นต่างเทศคือ
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนการเจรจารอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งเชื่อว่าสหรัฐคงท่าทีที่แข็งกร้าวหากจีนยังดึงดันที่จะโต้ตอบกลับ
ถัดมายังคงเป็นเรื่องทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐแม้ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาจะต่ำกว่าคาดดังกล่าวข้างต้นแต่โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปีนี้ยังมีสูงนำมาซึ่งความผันผวนของค่าเงินโลกโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มEmerging Market ที่ภาระหนี้สกุลเงินต่างประเทศในระดับสูงรวมทั้งมีสถานะการเงินอ่อนแอทั้งขาดดุลและดุลบัญชีเดินสะพัดจนกลายเป็นความเสี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจได้
และเมื่อรวมกับการปรับลดประมาณการกำไรตลาดฯปี 2561 ลงจากประมาณการฯเดิม 2.7% ส่งผลให้กำไรตลาดฯอยู่ที่ 1.07 ล้านล้านบาทคิดเป็นEPS 107.80 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 1.1 ล้านล้านบาทหรือEPS 110.8 บาท) และทำให้EPS Growth ลงมาอยู่ที่ 10.1%yoy (จากเดิม 13.1%yoy) ซึ่งการปรับลดประมาณการฯดังกล่าวเกิดจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษในงวด 2Q61 ที่ผ่านมา, ผลการดำเนินงาน 1H61 ของบางบริษัทต่ำกว่าที่ควรจะเป็นรวมทั้งหุ้นที่ผลการดำเนินงานปกติ 2H61 มีโอกาสต่ำกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกขณะที่ปี 2562 มีการปรับลดประมาณการฯลงเล็กน้อยราว 5.8 พันล้านบาทหรือ 0.01% จากประมาณการเดิมส่งผลให้EPS อยู่ที่ 115.3 บาทเติบโต 7%yoy
ภายใต้ประมาณการฯใหม่บนสมมติฐานที่ว่ากระแสFund Flow ยังไม่ไหลกลับเข้ามาอย่างมีนัยฯอิงPER 15 เท่าทำให้ประเมินดัชนีเป้าหมายณสิ้นปี 2561 ได้ที่ 1617 จุดลดลงจากเดิม 1662 จุดแต่หากกระแสFund Flow ไหลกลับเข้ามาฝ่ายวิจัยก็พร้อมปรับPER ขึ้นเป็น 16 เท่าได้ดัชนีเป้าหมายณสิ้นปี 2561 ที่ 1725 จุดจะเห็นว่าโอกาสการปรับขึ้นค่อนข้างจำกัดยกเว้นflow flow ต้องไหลทะลักอย่างรุนแรงจึงจะดันดัชนีกลับไปที่ 17-18 เท่าเหมือนในบางปีซึ่งเป็นไปได้ยากภายในปัจจัยเสียงภายในนอกยังมี
กลยุทธ์การลงทุนจึงยังแนะนำเลือกลงทุนรายหุ้นที่กระทบจากปัจจัยภายนอกน้อยสุดหรือDomestic Play ที่ยังมีUpside สูงคือ
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศ : ค้าปลีกBJC (แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H เติบโตโดดเด่น), CPALL (ราคาหุ้นปรับลงจนมีupside), สื่อสารฯADVANC (โดดเด่นสุดในกลุ่มICT)
หุ้นก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง : SCC, (รับกระแสงานก่อสร้างโครงการภาครัฐ), DCC (ปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่), SEAFCO (3Q61 peak ทั้งรายได้และกำไร)
หุ้นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน : EASTW, TTW, RATCH, BGRIM
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น
ธนาคาร : BBL, TCAP
มีเงินสดสุทธิ : VGI, MACO
หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและราคาหุ้นยังLaggard : TU, CPF, HANA
ภรณีทองเย็นเลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ทวีธีระธรรมเลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัยภัทราวิชญ์เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดรเตียรณปราโมทย์เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤตชาติเชิดศักดิ์เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธินภูคงนิลผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัสแก้วเกื้อผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์โกมลวิทยาธรผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO13935