- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 September 2018 17:31
- Hits: 4464
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ข่าวดี...ดัชนีราคาผู้บริโภคอ่อน-เจรจาการค้ารอบใหม่”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับขึ้นแรง +38.57 จุด ปิดที่ 1717.96 จุด เกิดแรงซื้อหนาแน่นโดยเฉพาะหลังผ่าน 1700 จุดไปได้ เหมือนมีโปรแกรม AI ตั้งซื้อไว้ จากข่าวดีวันพุธคือ มีราชกิจจาฯ ประกาศ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ การได้มา ส.ว.บ่งชี้การเลือกตั้งมีความคืบหน้าว่าจะอยู่ในช่วงโรดแมป ก.พ.-พ.ค.62 ด้านต่างประเทศมีความหวังขึ้น จากสหรัฐฯเตรียมการเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีน แม้ยังมีเรื่องค้างคาเดิมๆอยู่ การที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่ม จะจัดการการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น และคาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้หลังตัวเลขเศรษฐกิจแรงงานออกมาร้อนแรง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐเพิ่ม เงินไหลออก วิกฤติค่าเงิน EM มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นเป็น 79 พันล้านบาท หุ้นกลุ่มหลักฟื้นตัว โดยเฉพาะ พลังงาน ธนาคาร ขนส่ง และพาณิชย์ ด้านผู้ขายสุทธิเป็น นักลงทุนทั่วไป 12.8 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.7 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 11.5 พันล้านบาท และต่างชาติ 2.0 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโมเม็นตัมดีต่อ หลังจากมีปัจจัยบวกในประเทศคือ ความหวังการเลือกตั้งไทยที่จะเกิดขึ้นตามโรดแมป ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ดีขึ้นคือตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อ่อน ลดความกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้ ความหวังการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีนรอบใหม่ ดอลลาร์อ่อนค่า หลัง ECB ทยอยลด QE บาทแข็ง เงินไหลเข้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี และ ดัชนีความกลัว (VIX) ลดลง แม้ปัจจัยต่างประเทศที่เป็นลบคือ ราคาน้ำมันลดลง ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น และเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย และมีความคืบหน้าเลือกตั้งปีหน้า ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเกาหลีปรับขึ้นดี ดาวโจนส์ล่วงหน้า +16 จุด (8.11 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้น ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1700-1750 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10%
Update หุ้นเด่น: KBANK – คาดว่าตลาดฯยังให้น้ำหนักหุ้นใหญ่ที่มีพื้นฐานดี และอยู่ในกระแสดอกเบี้ยขาขึ้น ธนาคารจะได้ประโยขน์ หลังKBANK ประกาศกำไร 2Q61 ดีกว่าที่เราและตลาดคาด นั่นคือ โตถึง 21.5% y-o-y และเพิ่ม 1.4% q-o-q ผลจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยแข็งแกร่งกว่าคาด ก่อนหน้านี้ได้มีการปรับประมาณการปีนี้ดีขึ้นถึง 12% โดยคาดว่ากำไรตลอดปีนี้จะเพิ่มได้ 9% คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานที่ปรับ ชึ้นตามเป็น 254.00 บาท ด้วย P/BV ปี 61 ที่ 1.6 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 19%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนเป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1730-1740-1750
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TCAP, PYLON, AMATA, PTT, ROBINS, AEONTS หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RJH, AP, HMPRO หุ้นที่หลุด List - หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit GLOBAL, GULF, VGI, SCB, STEC, PLANB, BCH
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ขึ้นดี ความหวังเจรจาการค้ารอบใหม่ หุ้นเทคโนฯดีดขึ้น
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,145.99 จุด เพิ่มขึ้น 147.07 จุด หรือ +0.57% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,013.71 จุด เพิ่มขึ้น 59.48 จุด หรือ +0.75% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด หรือ +0.53%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะลดแนวโน้มในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง หลังโอเปกผลิตน้ำมันสูงสุดรอบ 9 เดือน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 68.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 78.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเช่นกัน
• ทองคำ : ปรับลง หลังนักลงทุนขายสินทรัพย์ปลอดภัย มีความหวังเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนรอบใหม่
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.7 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,208.2 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) หลังจากข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาดในระหว่างวัน
+/• สหรัฐฯจะมีการเจรจาการค้ากับจีนอีกครั้ง
# นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า จีนยินดีตอบรับคำเชิญของสหรัฐสำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ พร้อมกับกล่าวว่า จีนตระหนักเสมอว่าความขัดแย้งทางการค้าที่ลุกลามออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายใด ซึ่งนับตั้งแต่การเจรจาเบื้องต้นที่กรุงวอชิงตันในเดือนที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงทำการติดต่อกัน และหารือกันเกี่ยวกับความกังวลของแต่ละฝ่าย
# ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของจีนมีขึ้นหลังจากนายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐได้มีการหารือกัน และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ทางรัฐบาลจีนก็มีความต้องการที่จะเจรจาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาของสหรัฐ จึงได้ส่งจดหมายเชิญไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน
+/- ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่ำกว่าคาด แต่การขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกดีกว่าคาด
# มีคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% โดยการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดของดัชนี CPI มีสาเหตุจากการร่วงลงของค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพ และเสื้อผ้า ขณะที่ราคาค่าเช่า และพลังงานปรับตัวขึ้น
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 204,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 210,000 ราย
-/+ ECB จะยุติการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ช่วงสิ้นปี แต่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า
# ประชุม ECB ประกาศว่าจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงครึ่งหนึ่ง สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนต.ค. และจะยุติมาตรการ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงสิ้นปีนี้
# ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.,การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ กกต.คาดจัดเลือกตั้ง ส.ส.-เลือก ส.ว.ในช่วง 11 ธ.ค.61-9 พ.ค.62
# พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า หลังจากราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไปเมื่อวานนี้แล้ว กฎหมายทั้งสองฉบับจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดเวลา 90 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.61 เป็นต้นไป ดังนั้น จึงจะสามารถคัดเลือก ส.ว.และจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ในช่วง 11 ธ.ค.61- 9 พ.ค.62
# สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.ช่วงก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ กกต.จะดำเนินการในเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 55-60 วัน ต่อจากนั้นจะดำเนินการเรื่องการทำไพรมารีโหวต (สาขาพรรคประจำจังหวัด คัดเลือกผู้สมัคร สส.เขต และบัญชีรายชื่อ) ให้เสร็จภายใน 30 วัน ส่วนการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองคงต้องขึ้นการพิจารณาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเรื่องการแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ก่อน คาดว่าจะดำเนินการในเร็วๆ นี้
# ผลกระทบ: คาดว่าทาง กกต.จะมีการออกพระราชกฤษฏีกาเลือกตั้งตามมา และคาดว่าการเลือกตั้งจะยังอยู่ในช่วงโรดแมป หรือห่างออกไปไม่มาก เท่าที่ทีมกลยุทธ์ประเมินคือ ก.พ.-พ.ค.62 หลักทรัพย์กลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจะเป็นรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม (การลงทุน) และรองลงมาคือ พาณิชย์ ธนาคาร กลุ่มสื่อ และอสังหาริมทรัพย์
+ สคร.คาดเปิดขาย กองทุน TFFIF มูลค่า 4.5 หมื่นลบ. เดือนต.ค.
# สคร.โรดโชว์ข้อมูลของกองทุนTFFIF มูลค่า 4.5 หมื่นลบ. ให้กับนักลงทุนต่างประเทศ วันที่ 17-20 กันยายนนี้ จากนั้น ก็จะโรดโชว์ให้นักลงทุนในประเทศวันที่ 24 กันยายน-8ตุลาคมนี้ จากนั้นเปิดขาย คาดกองทุนTFFIF เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นกลางเดือนต.ค.นี้
# สำหรับแผนการโรดโชว์เสนอขายหน่วยลงทุนของ กองทุน TFFIFนั้น จะเริ่มโรดโชว์ข้อมูลของกองทุนTFFIF ให้กับนักลงทุนต่างประเทศ วันที่ 17-20 กันยายนนี้ จากนั้น ก็จะโรดโชว์ให้นักลงทุนในประเทศวันที่ 24 กันยายน-8ตุลาคมนี้
+/• จับตาค่าครองชีพ 3 เดือนสุดท้ายของปี 2561
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยฯจับตาค่าครองชีพของครัวเรือนในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ หรือตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. 61 และจะติดตามต่อเนื่อง หลังจากคาดว่าระดับราคาสินค้าและบริการในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะในช่วงดังกล่าวจะมีเทศกาลกินเจ ที่จะทำให้ราคาอาหารสดเพิ่มขึ้นได้ และค่าโดยสารสาธารณะบางประเภทที่ผู้ประกอบการหลายฝ่ายขอปรับขึ้นเนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว แม้ภาครัฐจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรก็ตาม
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13819