- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 September 2018 00:09
- Hits: 1736
บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้
เก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง (Mid Cap Play)
Smart Pick
เก็งกำไร MBK
ราคาปิด 24.80 บาท
ราคาเหมาะสม 28.50 บาท
MBK มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวรออยู่ในสัปดาห์หน้า ดัชนี FTSE Small Cap เพิ่ม MBK เข้าคำนวณดัชนี โดยจะปรับน้ำหนักวันที่ 21 ก.ย. คาดหวังเม็ดเงินทุนต่างชาติจะเข้ามาสะสมในรอบสั้นนี้
นอกจากนี้โครงการ Icon Siam เตรียมเปิดตัวปลาย 4Q61 เป็นปัจจัยผลักดันกำไรปี 2562 และล่าสุด MBK เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสยามพิวรรธน์จาก 30.7% เป็น 49.9% ตั้งแต่ 2Q61 เราคาดกำไรปกติปี 2562 เติบโตถึง +35.1% % YoY เป็น 2.8 พันล้านบาท
เก็งกำไร SEAFCO
ราคาปิด 8.45 บาท
ราคาเหมาะสม 10.65 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกหลังเข้าประชุมวานนี้ พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 2561 และ 2562 ขึ้น 22% และ 10% ตามลำดับ ทำให้กำไรปกติปี 2561 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 339 ล้านบาท โตถึง +86% YoY
สำหรับแนวโน้มกำไร 3Q61 คาดเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เติบโตทั้ง YoY, QoQ ขณะที่ Backlog ล่าสุดสูงถึง 3.3 พันลบ.และมีโอกาสชนะงานประมูลขนาดใหญ่ปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีชมพู/ส้ม และงาน The One Bangkok
สะสม ROBINS
ราคาปิด 65.25 บาท
ราคาเหมาะสม 78.00 บาท
เรามองว่า ROBINS เป็นหุ้นพักเงินได้ดี เนื่องจากเป็นหุ้นค้าปลีกที่พึ่งพิงกำลังซื้อในประเทศ และไม่มีสาขาในต่างประเทศ จึงปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินในภูมิภาค
นอกจากนี้ราคา ณ ปัจจุบัน ซื้อขาย PER2561 เพียง 23.1 เท่า เทียบกับ HMPRO 35.2 เท่า, CPALL 29.8 เท่า และ BJC 33.2 เท่า
เก็งกำไร IVL
ราคาปิด 57.25 บาท
แนวต้านทางเทคนิค 59.50 บาท
ภาพทางเทคนิค เราคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้ หากลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 56.50 บาท โดยมีแนวต้าน 59.50 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 55.00 บาท
แนวโน้ม 3Q61 เราคาดกำไรปกติทรงตัวระดับสูง QoQ จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของโรงงานใหม่ในโปรตุเกส, บราซิล, อิสราเอล และอียิปต์ช่วยชดเชย Spread ที่ชะลอตัว QoQ ที่ 2Q เป็น High Season ของธุรกิจ เนื่องจากเป็นหน้าร้อนในยุโรปส่งผลให้ความต้องการใช้ PET เพิ่มสูงขึ้น
Profit-Taking : N.A.
กลยุทธ์วันนี้
ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียจำกัดมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นปรับบวก-ลบสลับกันไปในแต่ละตลาด ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวการณ์ลงทุนในตลาดนั้นๆ เช่นตลาดหุ้นไทยที่ปิดบวกเล็กน้อย นอกจากนี้เม็ดเงินทุนต่างชาติยังเข้าสะสมตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้หนาแน่นอีกด้วย เป็นการยืนยันมุมมองของเราต่อสงครามการค้าของยักษ์ใหญ่ 2 ประเทศมีผลจำกัด
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันขาดปัจจัยใหม่เข้ากำหนดทิศทางการลงทุน ส่งผลให้ SET INDEX คาดแกว่งในกรอบระหว่าง 1,680-1,700 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท/วันต่อไปอีกระยะหนึ่ง กลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี / ธนาคาร คาดว่าจะแกว่งในกรอบแคบ เม็ดเงินจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศชะลอตัว ขณะที่หุ้นขนาดกลางถึงเล็กที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว หรือหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงก่อนหน้านี้จะมีแรงเก็งกำไรเข้ามา เราให้น้ำหนักกลุ่มรับเหมาฯ / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง / กลุ่มโรงพยาบาล / กลุ่มค้าปลีก เช่น STEC / SEAFCO / TASCO / EKH/ ROBINS เป็นต้น
นอกจากนี้กลุ่ม Safe haven ที่เด่นด้วยเงินปันผล อย่างกลุ่มอสังหาฯ / REIT / IFF จะเป็นทางเลือกที่ดีต่อการพักเงินในช่วงที่ตลาดไร้ทิศทาง ทั้งนี้จับตาผลตอบแทนของกองทุน TFF ที่จะขายในเดือนต.ค.นี้ หากผลตอบแทนต่ำกว่า 5% ย่อมเป็นบวกต่อหุ้นปันผลและกองทุน REIT / IFF ที่อยู่ในตลาด เพราะค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลของกองทุนทั้ง 2 ประเภทราว 6%
บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเช้านี้ เราปรับเพิ่มราคาเหมาะสม SEAFCO ขึ้นจาก 9.65 บาท เป็น 10.65 บาท สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2561-2562 ขึ้นจากเดิม 22% และ 10% ตามลำดับ จากมาร์จิ้นงานใหม่ที่ทำได้ดีกว่าคาด คงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" (รายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม)
HOT Topic
Hot Topic วันนี้
1. วานนี้มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 3.3 หมื่นล้านบาท สะท้อนอย่างไรต่อภาพการลงทุน?
2. ศาลปกครองนัดไต่สวนวันนี้ กรณี DTAC ของคุ้มครองผู้ใช้บริการคลื่น 850MHz
3. เรามีมุมมองอย่างไร หลังเข้าประชุมกับ SEAFCO
4. ตลาดหุ้นจีน,ฮ่องกงวานนี้ปรับตัวลงแรง อะไรเป็นปัจจัยกดดัน?
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
วานนี้ SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบแคบบริเวณ 1680-1693 จุด ก่อนจะมาปิดที่ 1691.51 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายยังเบาบางเพียง 3.3 หมื่นล้านบาท ลดลงจากระดับ 3.6 หมื่นล้านบาทในวันก่อนหน้า
กระแสเงินทุน : นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 12 อีกราว 188 ล้านบาท รวม 12 วันทำการขายสุทธิสะสมราว 1.5 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่พลิกสถานะมาขายสุทธิราว 636 ล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศและบัญชีบล.มีสถานะ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 2.1 พันสัญญา รวม 2 วันทำการมีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 6.8 พันสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิคงเหลือ 1 หมื่นสัญญา ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่มีสถานะ Short สุทธิราว 6.2 พันสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 5.3 หมื่นสัญญา โดย S50U18 มี Discount จาก SET50 Index เหลือ 0.2 จุด จากวันก่อนราว 1.5 จุด
ตลาดตราสารหนี้ : นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 2 พันล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิสะสมราว 7.2 พันล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ตัวแทนการเจรจา Brexit ฝ่ายอียู คาดจะบรรลุข้อตกลงขั้นแรกกับอังกฤษได้ภายใน 6-8 สัปดาห์
ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าว หากบริษัทแอปเปิ้ลไม่ต้องการได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้ามูลค่า 2 แสนล้านจากจีน ให้แอปเปิ้ลย้ายฐานการผลิตจากจีนไปสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเผยไม่สามารถให้สิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศต่อสหรัฐฯได้มากกว่าที่เคยเจรจาในข้อตกลงใน TPP
อียูเตรียมเจรจากับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เพื่อหาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย
คณะกรรมการนโยบาย PPP มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการทางหลวงสัมปทานสายนครปฐม-ชะอำ มูลค่าเงินลงทุนรวม 7.9 หมื่นล้านบาท ในรูปแบบ PPP Net Cost
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พ.ย.61) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 109.45 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (NEUTRAL)
จีนรายงานเงินเฟ้อเดือนส.ค. ขยายตัว 2.3% YoY มากกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.1% YoY
ติดตามการประชุม กสทช. เพื่อพิจารณามาตรการเยียวยาของ DTAC วันที่ 12 ก.ย.
ติดตามการรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Beige Book), การประชุมของธนาคารอังกฤษ (BOE), การประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการรายงานเงินเฟ้อ CPI เดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ วันที่ 13 ก.ย.
Strategist Team
Mayuree Chowvikran Head of Research , 662-009-8050
Padon Vannarat Strategist , 662-009-8060
Piyapat Patarapuvadol Strategist , 662-009-8062
Nutt Treepoonsuk Strategist , 662-009-8059
OO13633