- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 August 2018 19:52
- Hits: 1872
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
เดินหน้าท้าทาย Fund Outflow
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นไทยได้รับอิทธิพลจาก (1) ค่าเงินบาทกลับสู่การแข็งค่ามาที่ 32.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากการอ่อนค่าลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ (2) ราคาน้ำมันเดินหน้าขึ้นต่อ จากความวิตกกังวลซัพพลายจากอิหร่านจะลดลงจากการถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร (3) ปธน.ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์เฟด และไม่เห็นด้วยกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป ส่งผลค่าเงินสหรัฐฯ หรือ U.S. Dollar Index กลับสู่การอ่อนค่ามาที่ 95.2 จุด (4) หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด S&P 500 ทำ New High โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,873 จุด หนุนจากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และขานรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีทุกภาคส่วน (5) ตัวเลขเศรษฐกิจไทย GDP Growth ไตรมาส 2/61 ขยายตัว 4.6% โดยได้รับอานิสสงค์จาก ราคาน้ำมัน-ปิโตรเคมีที่ดีในไตรมาส 2/61 ภาคการส่งออกดี แต่ภาคการบริโภคในประเทศ และราคาสินค้าเกษตร บ่งชี้ชัดว่าอ่อนแอ (6) กำไรของ บจ.ในไตรมาส 2/61 เติบโตขึ้น 18% YoY นับว่าดีในระดับกลาง ๆ ดังนั้น ด้วยภาพรวมการลงทุนทั้งหมด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะเดินหน้าต่อได้ แต่ดีในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับภาพรวมที่ดีขึ้นอย่างมากของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ยังมีความท้าทายในเรื่องเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปสู่สหรัฐฯ การลงทุนช่วงนี้ เราจึงเน้นกลยุทธ์หาหุ้นที่ Bottom Out ที่ผลประกอบการกำลังมีการฟื้นตัว เช่น CKP, STA, GIFT กรอบดัชนีวันนี้ 1,685-1,705 จุด
Stock Comment
CKP Pick of the day
STA (ปิด 12.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 15.50 บาท) ค่า P/BV อยู่ต่ำเพียง 0.8 เท่า เราคาดปี 2561 พลิกกลับมาทำกำไรดีขึ้นอย่างมีนัยยะ ทำให้คาดหวังการจ่ายเงินปันผลได้สูงถึง 0.57 บาท คิดเป็น Dividend Yield เท่ากับ 4.7%
XO (ปิด 10.50 บาท; NR; NR) กำไรสุทธิ 1H61เติบโตโดดเด่นมากที่ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 197% YoY สาเหตุสำคัญคือยอดขายเติบโต แต่ราคาวัตถุดิบลดลงอย่างมาก ทั้งน้ำตาล กระเทียม พริก ทำให้ Gross Profit Margin สูง เป็น 36.6% ใน 1H61 เทียบกับ 29.6% ใน 1H60 เราเชื่อว่าปัจจัยบวกในการเพิ่ม Gross Profit Margin ที่มาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดียังคงดีต่อไปใน 2H61 และปี 2561 เพราะล็อคราคาวัตถุดิบที่ระดับต่ำไปแล้วถึงสิ้นปี 2562 เราคาดว่ากำไรปี 2561 อยู่ที่ 186 ล้านบาทและคาดว่าปี 2562 ยอดขายเติบโตอีกราว 10-15% จากวอลุ่มขายเพิ่ม และขยับราคาสินค้าได้เพิ่ม ประกาศ Interim Dividend 0.12 บาท วันที่ 23 ส.ค. ดังนั้นการซื้อขาย XO-W1 ต้องเพิ่มความระมัดระวังจะมี Dividend Effect แต่ปัจจุบัน ยังมีสถานะ At-the-Money
GIFT (ปิด 4.38 บาท; ซื้อ; AWS TP 7.25 บาท) หลังจากกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ทรุดตัวไป -20% รายงานกำไรเพียง 25 ล้านบาท จากผลกระทบกรณี Magic Skin ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจ และผู้บริโภคเครื่องสำอางขาดความเชื่อมั่นไป เราพบว่าในเดือน ก.ค.นี้ ยอดการสั่งผลิตเครื่องสำอาง ในส่วน OEM ของ GIFT กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่น ดีขึ้นกว่าไตรมาส 2/61 อย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมมีการปรับตัวให้เข้ารูปเข้ารอยดีขึ้น และเจ้าของธุรกิจหันกลับมาสั่งสินค้ากับผู้ประกอบการที่มี อย.อย่างถูกกฎหมาย และเชื่อถือได้ ถือว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดไว้ นับเป็นปัจจัยบวก
หุ้นเด่นวันนี้ : CKP (ปิด 4.04 บาท; ซื้อ; AWS TP 5.00 บาท)
คาดแนวโน้มผลประกอบการปี 2561 จะเติบโตดีกว่าปี 2560 เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น บางปะอิน 2 ขนาดกำลังการผลิต 120 MW ในขณะที่ผลประกอบการปี 2562 ได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเต็มเขื่อนน้ำงึม 2 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ขนาดกำลังการผลิต 615 MW มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าเต็มที่ ปัจจุบัน CKP นั้นมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA ประมาณ 2,160 MW แบ่งเป็นโครงการที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว (COD) 875 MW ส่วนที่เหลือราว 1,285 MW ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีที่คาดว่าจะ COD ได้ในเดือน ต.ค. 2562
หาก Price Pattern ของ CKP สามารถปิดตลาดรายเดือนในเดือนสิงหาคม 2561 ได้เหนือ 3.98 บาท จะเปลี่ยนแนวโน้มหลักเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) โดยปัจจุบัน Price Pattern ของ CKP ยังมีความแข็งแกร่งระยะกลางจากการเกิด Weekly Buy Signal แต่ระยะสั้นยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐานจากการเกิด Daily Sell Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ CKP ตราบเท่าที่ยังปิดตลาดเหนือ 4 บาท มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 4.12 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 4.24 บาท ตามลำดับ(Resistance: 4.06, 4.08, 4.14; Support: 4.02, 4.00, 3.94)
ปัจจัยในประเทศ :
ครม.เร่งผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) นำร่องในจังหวัด ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ฯ นครศรีฯ มูลค่าการลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท เร่งศึกษาการลงทุนรถไฟทางคู่เชื่อม EEC โดยการลงทุนจะแบ่งเป็นโครงการรถไฟทางคู่ มูลค่า 8.3 หมื่นล้านบาท โครงการก่อสร้างถนน มูลค่า 4.3 หมื่นล้านบาท โครงการพัฒนาสนามบิน มูลค่า 1.3 พันล้านบาท และโครงการท่าเรือและโครงการทางทะเลต่างๆอีก 8 แสนล้านบาท (ข่าวสด/บางกอกโพสต์) ความเห็น: คาดว่าถ้าโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ได้รับการผลักดันอย่างชัดเจนเหมืองอย่างโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาฯที่จะมีงานประมูลโครงการก่อสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น
KTC (ราคาปิด 28.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 33 บาท) เตรียมเจาะธุรกิจใหม่นาโนไฟแนนซ์และพิโกไฟแนนซ์ โดยบริษัทได้มีการยื่นเรื่องต่อ KTB แล้ว นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 2561 ที่ 5 พันล้านบาท (ข่าวหุ้น) ความเห็น: เรามองว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นอัพไซด์เพิ่มเติมต่อบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะด้านมาร์จิ้น เนื่องจากนาโนไฟแนนซ์และพิโกไฟแนนซ์มีดอกเบี้ยสูงถึง 36% เทียบกับดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตที่ 18% และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ 28% เรายังไม่ได้รวมปัจจัยดังกล่าวในประมาณการของเรา เนื่องจากเราคาดการขยายธุรกิจใหม่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 ขึ้น 14% อยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท จากเดิม 27 บาท
SCB (ราคาปิด 144.50 บาท; ถือ; AWS TP 135 บาท) เตรียมเปิดตัวบริการสินเชื่อช่องทางดิจิทัลแก่ SME ผ่าน SCB Easy โมบายแบงก์กิ้งในเดือนหน้า ซึ่งในช่วงแรก บริการดังกล่าวจะนำเสนอเพียงลูกค้าปัจจุบันของธนาคารและร้านค้าที่ใช้บริการ QR Code แม่มณี โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของ SCB จะเป็นลูกค้าขนาดเล็กที่ต้องการสินเชื่อวงเงิน 5,000 บาท ถึง 2 ล้านบาท (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เรามีมุมมองบวกต่อข่าวดังกล่าวด้วยแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางอื่นๆ นอกเหนือจากช่องทางดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เราคาดการลงทุนในระดับสูงจากแผน Transformation จะยังเป็น Overhang ต่อ SCB ไปอย่างน้อยในอีก 2 ปีข้างหน้า
BGRIM (ปิด 25.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 33.00 บาท) เร่งโครงการพลังงานลมในเกาหลีใต้ ขนาด 100 เมกะวัตต์ เตรียมสรุปการลงทุนให้ได้ภายในปีนี้ รวมถึงการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเติมในเวียดนาม คาดจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเข้ามาใหม่กว่า 100 เมกะวัตต์ หลังจากลงนามในสัญญาแล้ว 677 เมกะวัตต์ ในจำนวน 2 โครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้างติดตั้งระบบเพื่อให้ทัน COD ในเดือน ก.ค.62 (มิติหุ้น) ความเห็น: บริษัทเร่งขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศ หลังโอกาสเติบโตจากในประเทศเริ่มจำกัด แนวโน้มผลประกอบการช่วง 2H61 ยังเติบโตต่อเนื่องตาม (1) กำลังการผลิตในประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2H61 อีก 180 MW (2) การรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่ลงทุนไว้ปีก่อน และ (3) การบันทึกรายได้เพิ่มขึ้นจากการซื้อหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม บี.กริม ยันฮีโซลาร์ เพาเวอร์ ราว 500 ล้านบาทต่อปี คงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 33.00 บาท
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยการค้าไทยกับคู่เจรจา FTA ใน 1H61 เพิ่มขึ้นสูงถึง 14.24% YoY: มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับ 17 ประเทศภายใต้เขตการค้าเสรีที่มีผลบังคับใช้ 12 ฉบับมีมูลค่าทั้งสิ้น 148,200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีมูลค่าการส่งออก 73,790 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 13.3% YoY โดยการนำเข้ามีมูลค่า 74,410 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 15.2% YoY (Bangkok Post) ความเห็น: แม้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความเสี่ยงจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอเมริกา รวมถึงนโยบายในหลายประเทศที่เพิ่มขึ้นเพื่อลดการนำเข้า อย่างไรก็ตามการค้าระหว่างไทยกับ 17 คู่ค้าเขตการค้าเสรีก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1H61 ซึ่งคิดเป็น 59.7% ของการค้าระหว่างประเทศ
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 63.60 จุด หรือ +0.25% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 5.91 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 38.17 จุด หรือ +0.49% เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองในด้านบวกเกี่ยวกับการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือน ส.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในสัปดาห์นี้เช่นกัน
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : WTI เพิ่มขึ้น 92 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 67.35 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 72.63 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นการปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับการคาดการณ์ที่ว่าปริมาณน้ำมันในตลาดโลกอาจประสบภาวะตึงตัว หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งให้ใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. โดยจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้
ราคาทองคำ : เพิ่มขึ้น 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO12785