- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 August 2018 18:57
- Hits: 3956
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“SET มีโมเม็นตัมบวกต่อ จากจีน-สหรัฐเจรจาการค้า”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index ฟื้นตัวได้ 9.08 จุด ที่ 1690.04 จุด ใกล้เคียงกับยอดสูงสุดของวันที่ 1694.39 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายทรงตัวที่ 52.5 พันล้านบาท จากข่าวบวกว่าจีนกับสหรัฐจะกลับมาเจรจาการค้ากันอีกครั้งปลายเดือนนี้ และสถานการณ์ตุรกีดีขึ้น หลังการ์ตาร์เข้ามาลงทุนในตุรกี ราคานํ้ามันกลับมาปรับขึ้นได้ บาทแข็งค่า แต่ปัจจัยลบยังเป็นดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง ต่างชาติขายสุทธิหนัก หลักทรัพย์กลุ่มหลักปรับตัวดีขึ้น มีการเก็งกำไร ADVANC, DTAC ก่อนประมูล ผู้ซื้อสุทธิคือมีรายเดียวคือ สถาบัน 3.6 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.8 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ 1.1 พันล้านบาท และต่างประเทศ 0.8 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังมีข่าวจีนจะกลับมาเจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่สำคัญคือ 22-23 ส.ค.61 ก่อนภาษีนำเข้าจะปรับขึ้นในวันที่ 23 ส.ค. 61 และจะมีการประชุม NAFTA สหรัฐกับเม็กซิโกสัปดาห์หน้าด้วย ดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าหลังตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นอ่อนสุดในรอบเกือบ 1 ปี น้ำมันศุกร์ปรับขึ้น ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับขึ้นแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -1 จุด (8.35 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ยังมีแนวโน้มลดลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออกจึงอาจได้รับผลลบได้ แต่ก็อาจส่งออกได้มากขึ้นด้วย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1710 จุด
Update หุ้นเด่น : MTC – กำไร 2Q61 แข็งแกร่งกว่าคาด โดยมีกำไรสุทธิ 2Q61 เท่ากับ 912 ล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (เติบโต 59.7%YoY และ 9.4%ญ) และกำไรสุทธิ 1H61 ที่ 1.75 พันล้านบาท (เติบโต 57.6%YoY) คิดเป็น 54% ของประมาณการทั้งปี 61 ของเรา สินเชื่องวด 2Q61 เติบโตสูงกว่าคาด และ Yield & สเปรดลดลงน้อยกว่าที่เราประมาณการไว้ นอกจากนั้นการตั้งสำรองค่าเผื่อฯ ก็ลดลง คงคำแนะนำซื้อ ฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ราคาพื้นฐานระยะยาว 1 ปีไว้ที่ 52 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 28%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SCC,AP,KCE,ERW,BJC,TVO หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GLOBAL,LALIN,HMPRO หุ้นที่หลุด List STANLY หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ TU,SENA,CHG,SAWAD,EPS,SPRC,BCH,WICE,TOP
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ดีดขึ้นสูงสุดใน 6 เดือน หลังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,669.32 จุด เพิ่มขึ้น 110.59 จุด หรือ +0.43% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,816.33 จุด เพิ่มขึ้น 9.81 จุด หรือ +0.13% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,850.13 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด หรือ +0.33%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนเมื่อวันศุกร์ (17 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคาดหวังว่า การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในสัปดาห์นี้ จะสามารถคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าและจะปูทางไปสู่การจัดประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือนพ.ย.นี้
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น รับความหวังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 65.91 ดอลลาร์/บาร์เ
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 71.83 ดอลลาร์/
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อวันศุกร์ (17 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับรายงานข่าวที่ว่า จีนและสหรัฐจะจัดให้มีการเจรจารอบใหม่ในเดือนนี้เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า
• ทองคำ : ปรับขึ้นเล็กน้อย เพราะดอลลาร์อ่อนค่าลง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1184.20 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำร่วงลง 2.85% ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์ที่หนักสุดในรอบกว่า 1 ปี
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อวันศุกร์ (17 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งติดต่อกัน 2 วันทำการนั้น ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
+/• จีนจะกลับมาเจรการค้ากับสหรัฐอีกคร้ง สิ่งที่ดีคือเป็น 22-23 ส.ค.61
# ทางการจีนยืนยันว่า คณะผู้แทนของจีนจะเดินทางไปยังสหรัฐภายในเดือนนี้ เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า การเจรจาดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 22-23 ส.ค.
# หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของทั้งสหรัฐและจีนกำลังเร่งทำโร้ดแมพเพื่อผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งจะนำไปสู่การประชุมสุดยอดระหว่างปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ในเดือนพ.ย.
+/• จับตาการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
# นักลงทุนยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกในสัปดาห์นี้ โดยนายอิลเดฟอนโซ กูจาร์โด รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเม็กซิโกจะพบปะหารือกับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า
+/- ติดตามการประชุมเฟด ที่แจคสันโฮล บ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงิน
# นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 23-25 ส.ค.นี้ โดยหัวข้อการประชุมในปีนี้คือ "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด และสิ่งบ่งชี้สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน"
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ สภาพัฒน์ฯ กำหนดแถลง GDP 2Q61 วันนี้
# รมว.คลัง กล่าวถึงการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/61 จากการประเมินของหน่วยงานต่างๆ ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลังก็ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมถือว่าดีขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ มีกำหนดแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 2/61 ในวันที่ 20 ส.ค.นี้
-ยอดการจดทะเบียนธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2561 ลดลง
# กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ยังคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจตลอดปี 2561 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย แม้ยอดการจดทะเบียนธุรกิจในเดือนกรกฎาคม 2561 พบว่า มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 5,964 ราย ลดลง 550 ราย เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2561 จำนวน 6,514 ราย หรือคิดเป็น 8% และเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2560 ลดลง 15 ราย จากจำนวน 5,979 ราย หรืดคิดเป็น 0.3%
+/- DTAC & ADVANC ประมูลได้คนละ 1 คลื่น 1800 MHz ได้ราคาไม่สูง ปรับราคาพื้นฐานขึ้น
# ADVANC และ DTAC สามารถชนะการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561 ขนาดใบอนุญาตละ 5 เมกะเฮิรตซ์ อายุ 15 ปี ราคาเริ่มต้น 12,486 ล้านบาท สามารถประมูลได้ที่ 12,511 ล้านบาท ต่อใบ สูงกว่าราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท ถือว่าต่อ MHz ที่ 2,502.2 ล้านบาท ถูกกว่าที่ TRUE และ ADVANC ประมูลในช่วงปลายปี 58 ที่ 5.7% และ 8.4% (ตอนนั้น TRUE และ ADVANC ประมูลที่ 15 MHZ ที่ราคา 39,792 และ 40,986 ล้านบาท ตามลำดับ)
# ผลกระทบ: ข้อดีคือ ทั้งสองรายได้ราคาที่ต่ำกว่าคาด ข้อดีคือ ใช้เงินลงทุน (Capex) น้อยกว่าประมาณการ คงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง ADVANC และ DTAC ราคาพื้นฐานล่าสุดปรับขึ้นเป็น 233.00 และ 56.50 บาท ตามลำดับ คาดว่าทาง กสทช.จะมีการปรับราคาประมูลเริ่มต้น 900 MHz ให้ลดลง เพื่อดึงดูดใจ
+/- ค่าเงินบาทเทียบกับเหรียญสหรัฐ: ล่าสุดปิดที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสิ้น 2Q61 ที่ระดับ 33.03 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการอ่อนค่าลง 0.4% (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, BTS, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI, WHA, WHAUP และ RCL เป็นต้น
-/+ ราคาน้ำมัน (ICE Brent Crude Spot Month) ล่าสุดปิดที่ระดับ 71.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลล์ เทียบกับสิ้น 2Q61 ที่ระดับ 79.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลล์ คิดเป็นการลด 9.5% (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านลบ มีขาดทุนในสินค้าคงคลัง คือ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แต่กลับเป็นบวกกับหลักทรัพย์ที่อิงน้ำมันเป็นวัตถุดิบเช่น TASCO, EPG และเป็นบวกกับหลักทรัพย์ขนส่งที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนเช่น AAV, BA, THAI และ NOK
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12668