- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 17 August 2018 23:48
- Hits: 13068
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“รีบาวด์จากข่าวเจรจาการค้า จีน-สหรัฐ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดรีบาวด์ได้ 4.67 จุด ที่ 1680.96 จุด ใกล้เคียงกับยอดสูงสุดของวันที่ 1682.43 จุด และถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าซื้อขายทรงตัวที่ 57.8 พันล้านบาท จากข่าวช่วงบ่ายว่าจีนกับสหรัฐจะกลับมาเจรจาการค้ากันอีกครั้งปลายเดือนนี้ แม้ปัจจัยต่างประเทศที่กดดัน คือ น้ำมันปรับลงดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อนค่า เงินไหลออก ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง หุ้นปรับตัวขึ้นดีเสริมตลาดคือ BEAUTY, CPALL, SAWAD และกลุ่มโรงกลั่นหลังค่าการกลั่นพุ่งไปถึง 8 เหรียญต่อบาร์เรลล์ ผู้ขายสุทธิคือมีรายเดียวคือ ต่างประเทศ 3.1 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ สถาบัน 1.5 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไป 0.8 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 0.7 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสรีบาวด์ได้ต่อ หลังมีข่าวจีนจะกลับมาเจรจาการค้ากับสหรัฐ และสถานการณ์ตุรกีดีขึ้น หลังการ์ตาร์เข้ามาลงทุนในตุรกี ราคาน้ำมันกลับมาปรับขึ้นได้ บาทกลับมาแข็งค่า แต่ปัจจัยลบยังเป็นดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง ต่างชาติขายสุทธิหนัก ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับขึ้น ดาวโจนส์ล่วงหน้า +42 จุด (8.33 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา งบไตรมาสสองกลุ่มอุตสาหกรรมออกมาครบแล้ว อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเพิ่ม 17% y-o-y แต่ลดลง 12% q-o-q ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีลดลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมายล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1675-1700 จุด
Update หุ้นเด่น : SEAFCO – กำไรหลัก 2Q61 อยู่ในเกณฑ์ดีมากเป็น 93 ล้านบาท (+145% y-o-y, +80% q-o-q) สาเหตุเพราะรายได้จากการก่อสร้างเติบโตดี (+94% y-o-y, +46% q-o-q) อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์สูงเป็น 22.6% มากกว่าทั้ง y-o-y และ q-o-q และบริหารค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ถือว่าไตรมาสนี้สามารถเข้าไปทำงานฐานรากในโครงการใหญ่ๆได้เต็มที่ และส่งมอบงานได้ตามเป้าหมาย กำไรหลักในงวด 1H61 เติบโตถึง 47% y-o-y เป็น 145 ล้านบาท และคิดเป็น 50% จากประมาณการทั้งปี เราจึงคงประมาณการไว้ และแนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 9.88 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 12.3% บริษัทจ่ายปันผลกลางปีที่ 0.11 บาท XD 24 ส.ค.61และจ่ายปันผล 6 ก.ย.61
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SAWAD, EPG, SPRC, BCH, HMPRO, WICE, TOP หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TU,GLOBAL, LALIN, SENA, SCB, CHG, STANLY หุ้นที่หลุด List ไม่ม่ หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ III, CPALL, CHAYO
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ดีดขึ้นแรง หลังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,558.73 จุด พุ่งขึ้น 396.32 จุด หรือ +1.58% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,806.52 จุด เพิ่มขึ้น 32.41 จุด หรือ +0.42% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,840.69 จุด เพิ่มขึ้น 22.32 จุด หรือ +0.79%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นเกือบ 400 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ส.ค.) ขานรับรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบที่ดีเกินคาดของวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ รวมทั้งข้อมูลแรงงานที่สดใสของสหรัฐ
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น รับความหวังจีน-สหรัฐจะเจรจาการค้า
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 65.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือเกือบ 1% ปิดที่ 71.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้
• ทองคำ : ร่วงลง หลังดาวโจนส์ปรับขึ้นดี
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่ 1184.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (16 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนลดความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นเกือบ 400 จุด อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า จีนและสหรัฐเตรียมเจรจารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า
+/• จีนจะกลับมาเจรการค้ากับสหรัฐอีกคร้ง ลุ้นจะเป็นก่อนวัน 23 ส.ค.61 หรือไม่
# กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า คณะผู้แทนของจีน ซึ่งนำโดยนายหวัง โชเหวิน รมช.พาณิชย์จีน มีกำหนดจะเดินทางเยือนสหรัฐในเดือนนี้ เพื่อเจรจากับตัวแทนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ซึ่งนำโดยนายเดวิด มัลพาส ปลัดกระทรวงการคลังฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ โดยการเจรจาดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า
# นักลงทุนจับตาดูว่า การเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 23 ส.ค.หรือไม่ ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐจะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ขู่ตอบโต้สหรัฐเช่นกัน
+ ตุรกี สถานการณ์ดีขึ้น หลังการ์ตาร์เข้าลงทุน
# นักลงทุนคลายวิตกเกี่ยวกับวิกฤตการเงินในตุรกี หลังจากรัฐบาลตุรกีเปิดเผยว่า กาตาร์ได้ตกลงที่จะเข้าลงทุนโดยตรงในตุรกีคิดเป็นวงเงิน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ
-/+ ตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก สหรัฐยังร้อนแรง แต่ตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านอ่อนลง
# สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยปรับตัวลง 2,000 ราย สู่ระดับ 212,000 รายในสัปดาห์ที่แล้วสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 215,000 ราย
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.168 ล้านยูนิต ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.260 ล้านยูนิต
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตามต่อไป
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนส.ค.ของสหรัฐ โดยจะเปิดเผยในเวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ หุ้น BETA สูง เมื่อตลาดกลับมารีบาวด์
# ทีมกลยุทธ์ DBS เห็นว่าหุ้นที่มีค่า Beta มากกว่า 1.0 เท่า จะปรับตัวขึ้นได้ดี เมื่อตลาดหุ้นรีบาวด์ เท่าที่รวบรวมมาได้คือ EA, MTC, BEM, SPRC, SCB, AOT และ PTT แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงเช่นกันเมื่อ SET กลับมาปรับลง
+ ค่าการกลั่น 15 ส.ค.61 เป็น 7.99 เหรียญต่อบาร์เรลล์ เพิ่มกระโดด 108% จากสิ้น 2Q61 (Aspen)
# ผลกระทบ: สาเหตุเป็นเพราะเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม และมีข่าวว่าโรงกลั่นที่อินเดียหลายแห่งหยุดดำเนินการ ดังนั้น หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านบวกคือ PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แม้ว่าราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลง อาจจะทำให้เกิดผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นสำหรับสินค้าคงคลัง (Inventory Losses) แต่ตามปัจจัยพื้นฐานแล้วจะให้ความสำคัญกับกำไรจากการดำเนินงานมากกว่า ซึ่งก็คาดว่า 3Q61 จะออกมาดี ตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้นมาก
# คำแนะนำ: คาดว่าอุตสาหกรรมโรงกลั่นในช่วง 2H61 จะมีแนวโน้มสดใสขึ้น เนื่องจาก สเปรดดีขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดิบลดลง โดยค่าการกลั่นจะฟื้นตัวได้ในปลายส.ค.ถึงก.ย.61 เมื่อเข้าสู่ช่วงปิดซ่อมบำรุงอุตสาหกรรมโรงกลั่นในสหรัฐ และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ฤดูหนาวที่ต้องใช้น้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น ด้านหลักทรัพย์ที่ DBS ทำการวิเคราะห์และแนะนำ ซื้อ คือ BCP ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท PTTGC ราคาพื้นฐาน 113.00 บาท และ TOP ราคาพื้นฐาน 96.50 บาท
+/- กำไรสุทธิทั้งตลาด 2Q61 ณ 15 ส.ค.61 เพิ่ม 17% y-o-y แต่ลดลง 12% q-o-q เป็น 2.6 แสนล้านบาท
# ด้านการจัดลำดับรายอุตสาหกรรม เทียบ y-o-y 3 ลำดับแรก ที่กำไรสุทธิเติบโตสูงสุดคือ 1) รับเหมาก่อสร้าง 2) โรงแรมและท่องเที่ยว และ 3) ขนส่ง แต่กำไรสุทธิลดลงสูงสุดคือ 1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ 2) สินค้าบุคคลและเวชภัณฑ์ และ 3) โรงพยาบาล
# ด้านการจัดลำดับรายอุตสาหกรรม เทียบ q-o-q 3 ลำดับแรก ที่กำไรสุทธิเติบโตสูงสุดคือ 1) แฟชั่น 2) อสังหาริมทรัพย์ และ 3) รับเหมาก่อสร้าง แต่กำไรสุทธิลดลงสูงสุดคือ 1) เหล็ก 2) ขนส่ง และ 3) โรงแรมและท่องเที่ยว
• ธนาคารกรุงไทยระบุ วิกฤตค่าเงินลีราของตุรกี ส่งผลกระทบต่อไทยจำกัด
# ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินสถานการณ์ค่าเงินลีราของตุรกีที่อ่อนค่าลง 40.8% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ว่า มีโอกาสน้อยที่จะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ เหมือนวิกฤตการเงินปี 2540 เนื่องจากเศรษฐกิจของตุรกีไม่ได้เชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆมากนัก และหากลุกลามก็จะกระทบประเทศในกลุ่มยูโรโซน
+ BAY ขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน แต่ไม่กระทบต่อการปล่อยสินเชื่อ
# ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านไปแล้วไม่ส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลดลงแต่อย่างใด เพราะเป็นการปรับขึ้นตามปกติหลังจากที่ลูกค้าแต่ละรายครบกำหนดระยะเวลาโปรโมชั่นแคมเปญที่ธนาคารกำหนดไว้ และมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารและธนาคารพาณิชย์อื่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน เพราะอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเฉลี่ย 5-10 สตางค์ แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย (MRR) ของธนาคารยังคงที่ เพราะคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่ปรับอัตรา
+/- DTAC และ ADVANC แจ้งผ่านคุณสมบัติ เข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz ในวันที่ 19 ส.ค.นี้แล้ว
# ADVANC แจ้งว่า บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลสเน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทย่อยร้อยละ 99.99 ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเป็นผู้ร่วมประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว โดย AWN จะเข้าร่วมการประมูลในวันที่19 สิงหาคม 2561 ตามที่ กสทช. กำหนดต่อไป
# ด้าน DTAC ก็แจ้งว่า กสทช. ได้แจ้งว่า บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด เป็นผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561
# ผลกระทบ: คาดว่าตลาดฯกำลังจับตามองว่า ผลการประมูลทั้งสองรายจะได้ราคาที่สูงหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อต้นทุนในการดำเนินงานต่อไป คงคำแนะนำ ซื้อ ทั้ง ADVANC และ DTAC ที่ผ่านมา กสทช.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ โดยเปิดประมูล 9 ใบอนุญาต ขนาดใบอนุญาตละ 5 เมกะเฮิรตซ์ อายุ 15 ปี ราคาเริ่มต้น 12,486 ล้านบาท
+/- ค่าเงินบาทเทียบกับเหรียญสหรัฐ: ล่าสุดปิดที่ระดับ 33.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสิ้น 2Q61 ที่ ระดับ 33.03 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการอ่อนค่าลง 0.4% (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, BTS, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI, WHA, WHAUP และ RCL เป็นต้น
-/+ ราคาน้ำมัน (ICE Brent Crude Spot Month) ล่าสุดปิดที่ระดับ 71.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลล์ เทียบกับสิ้น 2Q61 ที่ระดับ 79.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลล์ คิดเป็นการลด 10% (ที่มา: Aspen)
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมันที่ได้รับผล sentiment ด้านลบ มีขาดทุนในสินค้าคงคลัง คือ PTT, PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO, IRPC, BCP, SPRC แต่กลับเป็นบวกกับหลักทรัพย์ที่อิงน้ำมันเป็นวัตถุดิบเช่น TASCO, EPG และเป็นบวกกับหลักทรัพย์ขนส่งที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนเช่น AAV, BA, THAI และ NOK บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) (POLAR)- บริษัท ซันไทยอุตสาหกรรมถุงมือยาง จำกัด (มหาชน) (STHAI)-บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) (YNP)
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12596