- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 August 2018 16:47
- Hits: 2919
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
Fund Flow ยังหนุน แม้ปัจจัยสงครามการค้ายังกดดัน
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรงจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดในวันนี้ แต่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งและ Fund flow ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นยังหนุน ในขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar Index) อ่อนค่าลงเล็กน้อย -0.14% ทรงตัวที่ระดับ 95 จุด เป็นบวกต่อกระแส Fund flow คาดดัชนี SET ในวันนี้มีแนวโน้ม Sideways บวก-ลบ สลับกัน ให้กรอบดัชนีที่ 1,700-1,730 จุด ตลาดยังปรับขึ้นแรงได้ลำบาก กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้เน้นการลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น แบบ Selective Buy โดยหุ้นที่เราเลือกจะเน้นหุ้นกลุ่มส่งออกที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน อย่างกลุ่มอาหาร TU, CPF และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น KCE, DELTA, HANA หุ้นที่มีรายได้สม่ำเสมออย่างกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น EA, BGRIM, SSP โดยเราเลือก TU เป็น Pick of the day สำหรับวันนี้
Stock Comment
TU Pick of the day
CPF (ปิด 26.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 30.00 บาท) คาดผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2561 เติบโตโดดเด่นจากราคาหมูที่ฟื้นตัว ธุรกิจอื่นๆ ทั้งอาหารสัตว์ (Feed) และ อาหารสำเร็จรูป (Food) ยังเติบโตได้ดีเช่นกัน
CPALL (ปิด 73.75 บาท; ซื้อ; AWS TP 94.50 บาท) พื้นฐานยังแกร่งจากการบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการขยายสาขาต่อเนื่อง เริ่มฟื้นตัวจากแนวรับ 70 บาทต่อหุ้น
หุ้นเด่นวันนี้ : TU (ปิด 18.10 บาท; ซื้อ; AWS TP 20.00 บาท)
แนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 2561 เป็นบวกจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าในเดือน ก.ค. 61 ทำจุดต่ำสุดของปี 2561 ลดลงเหลือ 1,300 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน (-33% YoY, -19% MoM) ทำให้ราคาปลาทูน่าเฉลี่ยในช่วง 7 เดือนแรก เท่ากับ 1,576 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน (-9% YoY) โดยราคาวัตถุดิบปลาทูน่าในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มปรับขึ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 1,600-1,800 เหรียญสหรัฐฯ / ตัน แต่ยังถือว่าทรงตัวในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้อัตรากำไรเบื้องต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คาดช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของปี 2561 นี้ปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับ 14-15% เทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นของปี 2560 ที่ 13.3%
Price Pattern ของ TU แม้ว่าจะยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิด Monthly Sell Signal แต่ เริ่มมีความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการเกิด Daily Buy Signal และหาก TU สามารถปิดตลาดรายสัปดาห์เหนือ 17.60 บาท ก็จะกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TU ยังคงติดแนวต้านแข็งแกร่งอยู่ที่ 18.20 บาท ซึ่งหาก Price Pattern ของ TU มีความแข็งแกร่งที่มากพอ โดยสามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือ 18.20 บาทได้สำเร็จ ก็จะมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 19.20 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 20.20 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TU มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 16.30 บาท (Resistance: 18.30, 18.50, 18.80; Support: 18.00, 17.80, 17.50)
ปัจจัยในประเทศ :
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% อย่างไรก็ตาม กนง. มองเห็นความจำเป็นของการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวในวงกว้างมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ (บางกอกโพสต์)
BCH (ปิด 16.80 บาท; ซื้อ; AWS TP 18.60 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5%QoQ และ เพิ่มขึ้น 45.3% YoY (SET) ความเห็น: กำไรสุทธิไตรมาส 2/61 มากกว่าที่เราและบลูมเบิร์กคาดการณ์ราว 10% โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้ผู้ป่วยเงินสดและรายได้โครงการกองทุนประกันสังคมที่เพิ่มสูงขึ้น โดยรายได้ผู้ป่วยเงินสดที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากบริษัทมีการปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลใหม่และมีฝนตกก่อนฤดู ส่วนรายได้โครงการกองทุนประกันสังคมนั้น ได้รับแรงหนุนจากการปรับเพิ่มค่าบริการในโครงการประกันสังคม กำไรสุทธิครึ่งปีแรกคิดเป็น 46% ของประมานการทั้งปีของเรา เรายังคงประมานการกำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 1,002 ล้านบาท (+9.3%YoY)
SCC (ปิด 454 บาท; ซื้อ; AWS TP 480 บาท) ผนึก'บุญถาวร' ขยายตลาดค้าปลีก ตั้งบริษัทร่วมทุนลุยธุรกิจค้าปลีก บริหารจัดการแบบเฟรนไชส์เน้นจำหน่ายสินค้าตกแต่งภายในและนอกอาคาร (Thaipost) ความเห็น: เป็นการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นโดยอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการรายอื่น แนวโน้มผลประกอบของบริษัทชะลอตัวในระยะ 3 ปีนี้ (2561-2563) แต่จะเติบโตอีกครั้งในปี 2564-2565 จากการขยายกำลังการผลิตของ MOC ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20% หรือคิดเป็นกำลังการผลิต Olefin เพิ่มขึ้นอีก 3.5 แสนตันต่อปี และโตต่อเนื่องในปี 2566 จากกำลังการผลิต Olefin ของโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนาม ขนาด 1.5-1.6 ล้านตันต่อปี
ADVANC และ DTAC ยื่นซองเข้าประมูลคลื่น 1800MHz: ADVANC และ DTAC ยื่นใบสมัครประมูลในรอบที่สองของการประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz ที่กำหนดไว้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมหลังจากที่ได้ยกเลิกการเสนอราคาในรอบแรก (Bangkok Post) ความเห็น: เรามีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อ DTAC ซึ่งบริษัทควรที่มีคลื่นเพิ่มเติมจากเดิมเพื่อรองรับความหนาแน่นในการใช้งานในอนาคตเนื่องจากสัมปทานเดิมกำลังจะหมดอายุในเดือน ก.ย. นี้
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลดลงเล็กน้อย (DJIA -0.18%, S&P500 -0.03%, NASDAQ +0.06%) โดย Nasdaq Composite ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 0.1% ปิดที่ 7,888.33 จุด เป็นการปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 7 โดยได้รับแรงหนุนจากราคาหุ้น Facebook และ Amazon ที่ยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง +0.8% และ +1.3% ตามลำดับ สำหรับดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากข่าวจีนปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 45.16 จุด มาปิดที่ 25,583.75 จุด ลดลง -0.18% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทรงตัวที่ 2,857.70 จุด ลดลง -0.03%
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแรง (WTI -3.2%, Brent -3.2%) เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงมูลค่านำเข้าน้ำมันของจีนลดลง และปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่ลดลงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ โดยลดลง 2.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือ -3.2% เหลือ 66.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 2.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือ -3.2% ปิดที่ 72.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังไม่ผ่านทะลุผ่านแนวต้าน 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลายครั้งในสัปดาห์นี้ ทำให้ในระยะสั้นราคาน้ำมันมีแนวโน้มเคลื่อนไหวออกข้าง (Sideways)
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO12306