- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 August 2018 17:15
- Hits: 8188
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ต่างประเทศค่อนไปทางบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ASIAN (จากขายเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับขึ้น 11.02 จุด ที่ 1707.26 จุด ระหว่างวันไปทำยอดสูงสุดที่ 1710.75 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคมูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 49.6 พันล้านบาท ข่าวสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ มีผลเร็วขึ้นเป็นวานนี้เลยจากเดิมทยอยไปถึง พ.ย. ผลกระทบด้านลบคือ ดอลลาร์แข็งค่าบาทอ่อน เงินไหลออก ส่วนด้านบวกคือ ราคาน้ำมันปรับขึ้น มีผลดีกับหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ปัจจัยลบที่มีอยู่คือ สงครามสหรัฐ-จีนรุนแรงขึ้น หลังจีนประกาศโต้ตอบสหรัฐฯด้วยการจะจัดเก็บภาษีเพิ่ม เมื่อสหรัฐฯลงมือเก็บภาษี 25% กับจีน ช่วงนี้ต้องระวังการขายเมื่อมีข่าวจริง (Sell on Fact) เช่น มีแรงขายหุ้น TOP เมื่อประกาศงบออกมาวานนี้ ผู้ซื้อสุทธิคือต่างประเทศ 2.2 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ 1.4 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ สถาบัน 2.0 พันล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป 1.6 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีปัจจัยต่างประเทศหนุนให้ไปต่อได้ คือ ดาวโจนส์ น้ำมันปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง เงินไหลเข้า แต่ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ การคว่ำบาตรอิหร่านและสงครามการค้า สหรัฐ-จีน ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +18 จุด (8.23 น.) น้ำมันเช้านี้แกว่งแคบ แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีสลับออกมา ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านมากๆในอนาคต จนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมายล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1740 จุด
Update หุ้นเด่น : BBL –ธนาคารรายงานกำไรสุทธิ 2Q18 เท่ากับ 9.2 พันล้านบาท (+14%YoY, +2%QoQ) ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น สินเชื่อ +4.4%QoQ และ +3.1%YTD ณ สิ้น 2Q18 NPL ratio ลดลงเป็น 3.5% ในสิ้น 2Q18 เงินกองทุนแข็งแกร่ง โดยมี CAR เท่ากับ 17.2%, CET 1 และ Tier I ratios เท่ากับ 15.7% สูงกว่าขั้นต่ำที่ธปท.กำหนดไว้ภายใต้ Basel III ที่ 10.375%, 6.375% และ 7.875% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 218 บาท ซึ่งอิงกับ Gordon Growth Model หรือเทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ 0.98 เท่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1720-1730, 1740 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ 1700 แนวรับ 1680,1670
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น BBL, PTTEP, CPALL, TU, GLOBAL, CTW ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ AUCT, BCP, SCC หุ้นที่หลุด List CBG และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ MBK, GULF, MINT
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น ผลประกอบการหลายบริษัทออกมาดี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,628.91 จุด พุ่งขึ้น 126.73 จุด หรือ +0.50% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,883.66 จุด เพิ่มขึ้น 23.99 จุด หรือ +0.31% และดัชนี S&P500ปิดที่ 2,858.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.05 จุด หรือ +0.28%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงหุ้นเทสลาและหุ้นอัลฟาเบท ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น กังวลอุปทานหลังมีข่าวคว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 69.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 73.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าปริมาณน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังจากสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันเช่นกัน
• ทองคำ : ปรับขึ้น เพราะดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 1,218.3 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ช่วยหนุนสัญญาทองคำปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กส่งผลให้นักลงทุนจำนวนหนึ่งเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
-ดอลลาร์อ่อนค่า วิตกสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
-รายละเอียดสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน
# รัฐบาลสหรัฐได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่านเมื่อวานนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นรัฐบาลอิหร่านในการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, การทำธุรกรรมในสกุลริอัลในบัญชีธนาคารระหว่างประเทศ หรือในการออกพันธบัตร, การทำธุรกรรมซื้อขายทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงถ่านหิน อลูมินัม และเหล็กสำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตรถยนต์ ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่อิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับมหาอำนาจทั้ง 6 ชาติในปี 2558 เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกโครงการนิวเคลียร์
# ทั้งนี้ มาตรการที่สหรัฐใช้คว่ำบาตรอิหร่านเมื่อวานนี้ ถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
-สงครามการค้าสหรัฐ-จีน เก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่ม
# นักลงทุนจับตาสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดระบุว่า รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในอัตรา 25% วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค.นี้
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตามต่อไป
# ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
• กนง.ประชุมวันนี้ 8 ส.ค.61 คาดยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
# จับตาประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดยเฉพาะถ้อยแถลงเกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ตามแนวโน้มของต่างประเทศ
+/- สัปดาห์นี้ติดตามการประกาศงบกลุ่มพลังงาน ที่มี market cap สูงสุด
# สัปดาห์นี้จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานจะทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ทั้งกลุ่ม PTT และกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งถ้าหากผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวออกมาสูงหรือต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ก็จะเป็นผลบวกหรือลบ ทำให้ตลาดมีความผันผวนต่อไปได้ แต่ในระยะสั้นหลังประกาศงบการเงิน IVL และ TOP กลับมีแรงขายเมื่อมีข่าวจริง (Sell on Fact)
+ บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินงานในประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้น
# หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เผยว่า บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินงานในประเทศไทยมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และได้ส่งผลในด้านบวกไปยังอุตสาหกรรมในภาคอื่น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12267