- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 August 2018 18:16
- Hits: 8277
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านวันนี้ มีทั้งบวก-ลบ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลง 15.85 จุด ที่ 1696.24 จุด ระหว่างวันไปทำยอดต่ำสุดที่ 1694.98 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์อ่อนกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 52.1 พันล้านบาท ดัชนีฯกลับมาต่ำกว่า 1700 จุดอีกครั้ง ถือเป็นสัญญาไม่ดีนัก แม้มีปัจจัยบวกคือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรอ่อนกว่าคาด แต่ปัจจัยลบคือ สงครามสหรัฐ-จีนรุนแรงขึ้น หลังจีนประกาศโต้ตอบสหรัฐฯด้วยการจะจัดเก็บภาษีเพิ่ม เมื่อสหรัฐฯลงมือเก็บภาษี 25% กับจีน ช่วงนี้ต้องระวังการขายเมื่อมีข่าวจริง (Sell on Fact) เช่น มีแรงขายหุ้น IVL เมื่อประกาศงบออกมาเติบโตดี ผู้ซื้อสุทธิคือ บัญชีหลักทรัพย์ 1.4 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไป 1.3 พันล้านบาท และต่างประเทศ 1.2 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวคือ สถาบัน 3.9 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ดูหมองลง หลังจากปิดต่ำกว่า 1700 จุด จากแรงขายสถาบัน ส่วนข่าวสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิรักครั้งใหม่ มีผลเร็วขึ้นเป็นวันนี้เลยจากเดิมทยอยไปถึง พ.ย. ผลกระทบด้านลบคือ ดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อน เงินไหลออก ส่วนด้านบวกคือ ราคาน้ำมันปรับขึ้น มีผลดีกับหุ้นกลุ่มพลังงาน ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +9 จุด (8.18 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง ส่วนภาพใหญ่ปัจจัยต่างประเทศเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าและเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านมากๆในอนาคต จนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1720 จุด
Update หุ้นเด่น : MINT –แม้ว่าธุรกิจอาหารจะฟื้นตัวช้า แต่บริษัทก็พยายามบริหารจัดการด้วยการขยายสาขาและลดต้นทุนการผลิต ส่วนธุรกิจโรงแรมยังไปได้ดีโดยเฉพาะโรงแรมในโปรตุเกสที่เข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 และโรงแรมที่บราซิลก็มีแนวโนม้ ดีขึ้นด้วย เราประมาณการวา่ กำไรสุทธิปี 61 บริษัทจะขยายตัวได้ 12% และเติบโตเพิ่มขึ้น 19% ในปีหน้า คาดเพิ่มการซื้อโรงแรม NH ยังไม่ต้องเพิ่มทุน เพราะใช้กู้ได้โดยไม่เกิน Debt Covenant ที่ 1.75 เท่า DBSV ให้ราคาพื้นฐาน 50 บาท ประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มอีก 32%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1700-1710, 1720 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ 1695 แนวรับ 1680,1670
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCC, MBK, GULF, BCP, CBG, MINT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ AUCT หุ้นที่หลุด List GFPT, PTL, TOP, KKP, KCE, BH, COM7 และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นได้ ผลประกอบการหนุน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,502.18 จุด เพิ่มขึ้น 39.60 จุด หรือ +0.16% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,850.40 จุด เพิ่มขึ้น 10.05 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,859.68 จุด เพิ่มขึ้น 47.66 จุด หรือ +0.61%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง กังวลอุปทาน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 69.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 73.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากข่าวซาอุดิอาระเบียลดการผลิตน้ำมันในเดือนก.ค. และรัฐบาลสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
• ทองคำ : ปรับลง ดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 5.5 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ 1,217.7 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลกระทบจากการที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน
-ดอลลาร์แข็งค่า หลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
# ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่ราบรื่นของกระบวนการ Brexit ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
-IMF เตือน ความไม่แน่นอนของเยอรมันในการลดการเกินดุลการค้า
# หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของเยอรมนีในการลดการเกินดุลการค้าจะส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการค้า และเพิ่มความเสี่ยงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางการเงินทั่วโลก
+ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรอ่อน ค่าจ้างต่อชั่วโมงเพิ่มตามคาดการณ์
# กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 157,000 ตำแหน่ง โดยเป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.9% สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี หลังจากแตะระดับ 4.0% ในเดือนมิ.ย.
# ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 7 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.3% จากระดับ 0.2% ในเดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี โดยสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
-จีนเริ่มตอบโต้สหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม หากสหรัฐจะเก็บจากจีน
# ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเมื่อคืนนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษีในช่วง 5-25% จีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน การประกาศดังกล่าวของจีนมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้เพื่อขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
• กนง.ประชุม 8 ส.ค.61 คาดยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
# จับตาประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดยเฉพาะถ้อยแถลงเกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ตามแนวโน้มของต่างประเทศ
+/- สัปดาห์นี้ติดตามการประกาศงบกลุ่มพลังงาน ที่มี market cap สูงสุด
# สัปดาห์นี้จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานจะทยอยประกาศผลประกอบการออกมา ทั้งกลุ่ม PTT และกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งถ้าหากผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวออกมาสูงหรือต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ก็จะเป็นผลบวกหรือลบ ทำให้ตลาดมีความผันผวนต่อไปได้ ซึ่งค่าการกลั่นในช่วงก.ค.61 ถีบตัวก้าวกระโดด มีแนวโน้มว่า 3Q61 จะมีกำไรจากการดำเนินงานดีกว่า 2Q61
+ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน
# สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค.61) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 6.69% อยู่ที่ระดับ 108.11 แต่ยังอยู่ในเกณฑ์"ทรงตัว" (Neutral) ซึ่งมีช่วงค่าดัชนี 80-120
• รองนายกฯสมคิด ให้บีโอไอปรับเปลี่ยนวิธีดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ
# นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)ในต่างประเทศว่า ได้มอบนโยบายให้ทางบีโอไอปรับเปลี่ยนวิธีการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้เน้นการเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อเป็นฐานในการขยายการลงทุนในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMVT ไม่ใช่จะเน้นเรื่องการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพียงอย่างเดียว
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO12197