- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 August 2018 17:21
- Hits: 2228
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หาโอกาสจากภาวะ Sell on Fact
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : เกิดความชัดเจนแล้วว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะ Sell on Fact จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/61 แม้กำไรออกมาดี แต่ก็ถูกแรงขายหนักเนื่องจากมองว่าในไตรมาสถัดไป บจ.ที่กำไรดีเหล่านั้นมีแนวโน้มจะไม่สามารถรักษาฐานกำไรไว้ได้ ดังเห็นตัวอย่างมาแล้วจาก SCC, ADVANC, IVL นอกจากนี้มุมมองธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ทำให้เกิดแรงขายหนักใน IVL วานนี้ทั้งที่ผลประกอบการออกมาดีตามตลาดคาดการณ์ เราจึงแนะนำหาโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคาอ่อนตัวเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น และปรับลดการลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีลงมาเป็นการลงทุนระยะสั้นและระยะปานกลาง แทนที่จะเป็นระยะยาว โดยนักลงทุนควรขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีให้จบรอบภายในปี 2561 นี้ ทั้งนี้เรายังมีความวิตกกังวลต่อภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยใน 2 เรื่อง คือ 1.สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกแย่ลง แต่จะมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกเช่น อิเล็กทรอนิกส์ 2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ต่ำกว่าประเทศสำคัญอย่างสหรัฐฯ มากถึง 0.5% และหาก กนง.ไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ อาจทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยไทยต่ำกว่าสหรัฐฯ ถึง 1% เป็นการเร่งการไหลออกของ Fund Flow จากตลาดหุ้นไทย
กรอบดัชนีวันนี้ : 1,690-1,710 จุด หุ้นแนะนำ IVL, KCE, LH
กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ : 1,690-1,740 จุด หุ้นแนะนำ BANPU, EA, AP
Stock Comment
IVL Pick of the day (ปรับลด TP ลงจาก 68 บาท เป็น 65 บาท) แต่ยังคงแนะนำซื้อ
KCE (ปิด 42.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 46.00 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ราว 630 ล้านบาท ดีขึ้น QoQ แม้ยังอ่อนแอเทียบกับ YoY แต่เราคาดว่า KCE กำลังได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนและราคาทองแดงลด ซึ่งจะสะท้อนมาที่ผลประกอบการไตรมาส 3/61 และ 4/61 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เป็น Safe Haven ในภาวะเกิดสงครามการค้าสหรัฐฯจีน
LH (ปิด 11.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 12.20 บาท) การที่นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ที่ปฎิเสธการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนของบริษัท เราคาดการณ์ว่าการยกเลิกครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบทาง Sentiment ลบต่อราคาหุ้น แต่ไม่ส่งผลต่อ Fundamental ของบริษัท เรายังแนะนำหาจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 12.20 บาทต่อหุ้น
หุ้นเด่นวันนี้ : IVL (ปิด 57.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 65.00 บาท)
IVL ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 เท่ากับ 8.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 181%YoY และ 42%QoQ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 7.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 134%YoY และ 25%QoQ เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการต่อรองธุรกิจรวม 1.25 พันล้านบาท Core EBITDA ในไตรมาส 2/61 เพิ่มขึ้น 42% YoY และ 9%QoQ เป็น 153 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากการควบรวมกำลังการผลิตของ PET ที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก การต่อยอดของธุรกิจ HVA รวมถึงปริมาณการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นและอัตรากำไรที่ดีขึ้น เราพบว่า Core EBITDA ของ IVL ดีขึ้นพร้อมกันทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา ขณะที่ในเอเชียก็อยู่ระหว่างการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน
ปริมาณการผลิตในไตรมาส 2/61 นี้ เท่ากับ 2.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15%YoY และ 10%QoQ คิดเป็น Operating Rate ที่ 92% เพิ่มขึ้นจาก 87% ในไตรมาส 2/60 และ 87% ในไตรมาส 1/61 ในงวด 1H61 ปริมาณการผลิตมากถึง 4.87 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% YoY และ Operating Rate เฉลี่ยงวด 1H61 เท่ากับ 90% เพิ่มขึ้นจาก 87% ในงวด 1H60
เราปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2561 ขึ้นจาก 22 พันล้านบาท เป็น 25 พันล้านบาท แต่มี Dilution Effect เกิดขึ้นจากการแปลงวอร์แรนท์เข้ามาอีก 0.65% เราจึงปรับลดราคาเหมาะสมลงจาก 68 บาท เป็น 65 บาท จากการประเมินความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่วงหลัง ๆ นี้การเข้าซื้อกิจการของ IVL ไม่ทำให้มูลค่ากิจการเพิ่ม เนื่องจากรายได้และกำไรจากกำลังการผลิตที่ได้มาใหม่ถูก Offset ไปด้วยต้นทุนการเงินจากการซื้อกิจการ และยังไม่นับรวมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจ PET และ PTA เข้าสู่ขาลง ซึ่งอาจมีสเปรดที่อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังได้ เรายังแนะนำซื้อต่อไป แต่แนะนำนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง
Price Pattern ของ IVL ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 60 บาท และหากปิดตลาดเหนือ 60 บาทได้สำเร็จ จะมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 71.75 บาท มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 55.50 บาท (Resistance: 58.00, 59.50, 62.25; Support: 55.50, 54.00, 51.25)
ปัจจัยในประเทศ :
ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังอยู่ในภาวะทรงตัว สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (Fetco) เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 6.7% MoM อยู่ที่ 108.11 แม้ความเชื่อมั่นจะปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แต่ดัชนียังอยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (Neutral) 4 เดือนติดต่อกันแล้ว เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลกับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าออกระหว่างประเทศ นโยบายกีดกันทางการค้าและสงครามทางการค้า และนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางต่างๆ (บางกอกโพสต์)
GPSC (ปิด 70.25 บาท; NR; IAA Consensus 63.50 บาท) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 รายงานกำไรสุทธิ 1,051 ล้านบาท (+29% YoY, +14% QoQ) ดีกว่าที่ Bloomberg Consensus ประมาณการไว้ 6% (ที่มา: Settrade.com) ความเห็น: กำไรที่ดีกว่าคาด เนื่องจาก (1) รายได้ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) ของโรงไฟฟ้าศรีราชาที่ปรับตัวดีขึ้น (2) ปริมาณการขายไฟฟ้าของ โรงผลิตสาธารณูปการระยอง และโรงไฟฟ้าไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ (IRPC-CP) ที่เพิ่มขึ้น และ (3) โรงไฟฟ้าอิจิโนเซกิ โซล่า พาวเวอร์ 1 จีเค (ISP1) รับรู้รายได้ตามปกติในไตรมาส 2/61 หลังจากประสบกับภาวะหิมะตกหนักในไตรมาส 1/61 ผลประกอบการเป็นบวกแต่ระยะสั้นราคาหุ้นยังได้รับผลกระทบจากการเข้าซื้อ GLOW ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มทุน
BTS (9.25 บาท; NR; IAA consensus 11.05 บาท)BTS เตรียมชิง PPP บริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยบริษัทเตรียมศึกษาความเหมาะสมของการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรัฐ (PPP) ซึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงเขียวใต้ แบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงเขียวเหนือ หมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต รวมทั้งศึกษาโครงสร้างราคาตลอดเส้นทางที่ กทม. กำหนดไว้ไม่ให้เกิน 65 บาท (Bangkok Post) ความเห็น: เราเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีในกรณีที่ BTS ได้รับเลือกให้จัดการบริหารรถไฟฟ้าทั้งสายเนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถใช้บัตรโดยสารแค่ระบบเดียวรวมถึงบริษัทสามารถที่จะจัดการราคาตั๋วในราคาที่เหมาะสมได้อีกด้วย
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 39.60 จุด หรือ +0.16% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 10.05 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 47.66 จุด หรือ +0.61% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกเนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน โดยทำเนียบขาวประกาศว่า สหรัฐฯ จะรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมของอิหร่าน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้ และถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือน พ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
ตลาดหุ้นจีน : ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วง 31.37 จุด หรือ 1.15% ปิดที่ 2,705.16 จุด เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ภายหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ โดยจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐฯ เดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ คำกล่าวของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่กล่าวปกป้องการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดกับจีนว่า "เราสร้างจีนขึ้นมาใหม่และถึงเวลาแล้วที่ในตอนนี้เราจะสร้างประเทศของเราขึ้นใหม่เช่นเดียวกัน" พร้อมย้ำว่า หุ้นของจีนกำลังดิ่งลงอย่างหนัก ส่งผลทำให้อำนาจการจรจาต่อรองของจีนอ่อนแอลงในช่วงที่สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางจีนได้จัดเก็บเงินกันสำรองในสัดส่วน 20% กับสถาบันการเงินที่ทำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ได้มีการยกเลิกการจัดเก็บสัดส่วนการกันสำรองทางการเงินไปเมื่อเดือนก.ย. 2560 แถลงการณ์ของธนาคารกลางจีนระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะป้องกันความเสี่ยงทางด้านการเงิน และส่งเสริมการดำเนินการที่รอบคอบของสถาบันการเงิน
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : WTI เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 69.01 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 73.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้ปัจจัยหนุนจากข่าวซาอุดิอาระเบียลดการผลิตน้ำมันในเดือน ก.ค. และรัฐบาลสหรัฐฯประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน นักวิเคราะห์ของบริษัทเอเนอร์จี แอสเพคท์ กล่าวว่า การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO12190