- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 15 September 2014 17:56
- Hits: 1824
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ภาพตลาดวันก่อน : แกว่งแต่ปิดทรงตัว SET Index ปิดที่ 1581.36 ทรงตัวจากวันก่อนหน้า ทั้งนี้ตลาดไม่มีปัจจัยใหม่ และนักลงทุนรอดูผลประชุมFOMC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17-18 ก.ย.57 อย่างไรก็ตาม แรงซื้อในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัวยังบ่งชี้ว่านักลงทุนคงมีความสนใจลงทุนในหุ้น นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิ 781 ล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิเช่นกัน แต่กลุ่มละไม่มาก ส่วนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาทปัจจัยและกลยุทธ์ : ปัจจัยที่จับตาสัปดาห์นี้ คือ การประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งตลาดติดตามใกล้ชิดว่าเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร และการประชุมกนง.วันที่ 17 ก.ย.57
เราคาดว่า ทั้งเฟดและกนง.ของไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมไปถึงอย่างน้อยกลางปี 58 เพราะเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่งเริ่มฟื้นตัวและมีความเปราะบางในภาคที่อยู่อาศัย ขณะที่โครงการ QE ก็กำลังจะสิ้นสุดลงในไตรมาส 4/57ส่วนเศรษฐกิจไทยก็เพิ่งเริ่มฟื้นตัวและอัตราเงินเฟ้อยังไม่เป็นปัจจัยที่กดดัน หุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่เราชอบและคาดว่าผลประกอบการจะพลิกฟื้นดีขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/57 นี้ คือ ที่พักอาศัย (หุ้นเด่น AP, PS, SPALI, QH) สำหรับผลกระทบจากอัตราภาษีที่ดินที่จะเพิ่มขึ้นตามการปรับปรุงอัตราภาษีของรัฐบาลนั้น คาดว่าจะมีผลต่อบริษัทในกลุ่มที่พักอาศัยจำกัด เนื่องจากเป็นสัดส่วนที่น้อย (คือ 0.3-3%) และผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และกลุ่มอุปโภค & บริโภค (หุ้นเด่น CPALL, CENTEL, MINT) ส่วนกลุ่มเช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อรายย่อย คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกระยะ โดยจะเริ่มเห็นได้ในปี 58 ในด้านค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัวตามการแข็งค่าของเงิน US$ นั้นเป็นบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก หุ้นเด่นของเราเป็น KCE, GFPT, TUF สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น KCE
กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1580 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1560, 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1590-1600 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ THREL, GLOW, IVL, TWZ, TWP, TTA, AH, TUF, AJD, TGPRO,SUSCO, WORK (สีน้ำเงิน คือ หุ้นที่เข้ามาใหม่ใน List) ส่วนหุ้นที่แนะนำและปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าหาจังหวะ Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือ SITHAI, GFPT, INET
Fundamental Pick
KCE แนะนำซื้อราคาปิด 41.25 บาท เป้าหมาย 50 บาท
* KCE ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับ US$ ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายและอัตรากำไรในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น ส่วนภาพรวมธุรกิจยังไปได้ดี และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ล่าสุดมีข่าวว่าบริษัทย่อย คือ ไทยลามิเนต แมนูแฟคเจอเรอร์ จำกัด (TLM) นอกจากจะ supply วัตุดิบคือ ลามิเนตให้ KCE ส่วนหนึ่งเองแล้ว ล่าสุดมีข่าวดี คือ ได้ลงนามในสัญญารับจ้างผลิต (OEM) ให้กับพานาโซนิก ซึ่งเป็นผู้ผลิตลามิเนตของญี่ปุ่นที่เป็นรายใหญ่ที่สุด ซึ่งจะเริ่มผลิตตั้งแต่ 3Q57 ทั้งนี้ด้านรายได้จากปี 56 ที่ทำได้ 1.2 พันล้านบาท คาดว่าปีนี้จะทำได้เป็นสองเท่าคือ มากกว่า 2.4 พันล้านบาท และจะไปถึง 3.4 พันล้านบาทในงวดปี 60 แรงผลักดันมาจากคำสั่งซื้อของพานาโซนิกที่ 1.1 และ 2.3 พันล้านบาท ตามลำดับ สำหรับ KCE เอง เราคาดว่าจะมีการเติบโตที่น่าประทับใจในอนาคต อัตราการเติบโตรายได้ CAGR ในสกุลเหรียญสหรัฐเป็น 18% ระหว่างปี 57-60 แรงผลักดันมาจากโรงงานผลิตแผ่นพิมพ์วงจร (PCB) แห่งใหม่ของKCE และการขยายตัวของ TLM สำหรับประมาณการรายได้ระหว่างปี 57-59 เป็น 357, 420และ 501 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ ส่งผลให้อัตราการเติบโต CAGR ของกำไรทั้งกลุ่มใน 4ปีจะสูงถึง 32% ต่อปี และคาดว่ากำไรจะทำ Record High ถึง 3.1 พันล้านบาทในงวดปี 60จาก 1.85 พันล้านบาทในปี 57 แนะนำซื้อ ประเมินราคาพื้นฐานระยะ 12 เดือนเท่ากับ 50 บาทอิงกับ P/E ปี 58 ที่ 13 เท่า
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้นก.ย.ออกมาดีกว่าคาด
* กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก.ค.แตะระดับ 4.444 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายของชาวอเมริกันกระเตื้องขึ้นและช่วยหนุนคาดการณ์เกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงไตรมาส 3/57 ทั้งนี้การใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของผลผลิต
* ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนก.ย.สำรวจโดยรอยเตอร์และมหาวิทยาลัยมิชิแกนเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับ 84.6 จากระดับเดือนส.ค.ที่ 82.5 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์
• สหรัฐ : จับตาการประชุม FOMC วันที่ 17-18 ก.ย.นี้
* จับตาการประชุม FOMC วันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ว่าคณะกรรมการฯจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐหรือไม่ และอย่างไร ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่ง ทำให้กังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด อย่างไรก็ตามทาง DBS GroupResearch คาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ 0-0.25% ไปถึงอย่างน้อยไตรมาส 3/58เนื่องจากการฟื้นตัวยังเปราะบาง และเศรษฐกิจสหรัฐยังต้องการการกระตุ้นหลังจากที่เฟดจะจบโครงการ QE ในไตรมาส 4 ปีนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนตัวลงก่อนการประชุม FOMC 17-18 ก.ย.นี้
* ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลดลง โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6สัปดาห์ โดยเป็นการขายลดความเสี่ยงก่อนการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในสัปดาห์หน้า คือ วันที่ 17-18 ก.ย.57 ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 61.49จุด หรือ 0.36% ปิดที่ 16,987.51 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 11.91 จุด หรือ 0.60% ปิดที่1,985.54 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 24.21 จุด หรือ 0.53% ปิดที่ 4,567.60 จุด
- สัญญาน้ำมันดิบ : ลดลงต่อ
* สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงจากการคาดการณ์ที่ว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะปรับตัวลดลงในทั่วโลก สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง56 เซนต์ ปิดที่ 92.27 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำ COMEX : ร่วงต่อเป็นวันทึ่ 5
* สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน หลังหสรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 7.5 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 1,231.5 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ
•/+ คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่2.00%...กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยระดับกลาง-ต่ำ และแนวโน้มธุรกิจแกร่งใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้านี้ คือ ที่พักอาศัย และอุปโภค & บริโภค
* คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยจะประชุมวันที่ 17 ก.ย.นี้ เราคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วันไว้ที่ 2.00% ต่อไป ทั้งนี้ DBS Retail Research ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันยังเอื้อต่อการฟื้นตัวและการเติบโตเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 57 และปี 58 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล ประกอบกับคาดว่าทางการจะยังระมัดระวังเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่องจึงไม่เลือกใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป
* เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับกลาง-ต่ำของไทยขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคพลิกฟื้นและอยู่ในเกณฑ์ดีนั้นเป็นบวกและเกื้อหนุนอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องในปีหน้า เช่น ที่พักอาศัย, อุปโภคบริโภค, ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงธุรกิจบัตรเครดิต & เช่าซื้อ และสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์จะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยเฉพาะเช่าซื้อรถยนต์มือสอง เนื่องจากอุปทานในระบบยังสูงทำให้ราคารถยนต์มือสองยังต่ำมาก แต่ถือว่าธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เราชอบกลุ่มที่พักอาศัย &อุปโภคบริโภค เนื่องจากเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานในปัจจับ 4 และคาดว่าธุรกิจจะเติบโตได้ในอัตราที่สูงขึ้นในปี 58 โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่พักอาศัยเป็น AP, PS, QH, SPALI ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มอุปโภค & บริโภคเป็น CPALL, CENTEL, MINT
+ เงินบาทอ่อนค่าเป็นบวกกับกลุ่มส่งออกหุ้นเด่นของเราเป็น KCE, GFPT, TUF
* เงินบาทกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นอันเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง และ ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งใช้มาตรการ QEขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะปรับขึ้นในปี 58 ทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้าไปลงทุนในสหรัฐ
* เป็นบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทย โดยทำให้รายได้และอัตรากำไรในรูปเงินบาทดีขึ้น ขณะเดียวกันธุรกิจส่งออกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก หุ้นเด่นที่เราชอบในกลุ่มนี้เป็น KCE, GFPT, TUF
• กลุ่มสื่อ : กสทช.นัดหารือพิเศษ 17 ก.ย.นี้หลังผู้บริหาร BEC ยื่นข้อเรียกร้องให้ทบทวนมติ
* กสทช. เปิดเผยว่านายประวิทย์ มาลีนนท์ ตัวแทนจากช่อง 3 ได้ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการ กสทช.และคณะกรรมการ กสทช. โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ
1. ขอให้ทบทวนมติที่ประชุมกสท.ในวันที่ 3 ก.พ.57 ที่เห็นชอบให้ฟรีทีวี 6 ช่องเดิม (ช่อง 3,5, 7, 9, 11 และไทยพีบีเอส) ในระบบอนาล็อกสิ้นสุดการเป็นฟรีทีวีตามประกาศหลักเกณฑ์ของมัสต์แครี่
2. ขอให้ทบทวนมติที่ประชุมกสท.ในวันที่ 7 ก.ย.57 ห้ามให้ผู้ประกอบการโครงข่ายดาวเทียมและเคเบิลทีวีหยุดนำช่องรายการที่สิ้นสุดการให้บริการเป็นการทั่วไป (ฟรีทีวี)มาออกอากาศในโครงข่ายของตน โดยให้เวลา 15 วัน (นับตั้งแต่ผู้ประกอบการได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากทาง กสทช. ซึ่ง กสทช.ส่งหนังสือไปแล้วเมื่อวันที่ 11 ก.ย.57)
3. ในระหว่างที่บอร์ดกสท.และบอร์ด กสทช. รับเรื่องไว้พิจารณา ขอให้มีมาตรการคุ้มครองหรือเยียวยา โดยให้ช่อง 3 ออกอากาศไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติดังกล่าว
* กสทช.จะมีการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 17 ก.ย.57 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวว่าจะรับเรื่องนี้ไว้ทบทวนหรือไม่ หากมีการทบทวนเรื่องดังกล่าวก็จะมีแนวทางตั้งอนุคณะกรรมการ และตั้งทีมฝ่ายกฎหมาย เพื่อพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ในการกำหนดมาตรการคุ้มครองต่อไป แต่หากที่ประชุม กสทช.เห็นว่าจะไม่ทบทวนเรื่องนี้ ทุกฝ่ายก็จะต้องปฎิบัติตามมติที่ประชุมต่อไป
+ RATCH จับมือกับ CHOW ร่วมลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น ... เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับบริษัท โดย IAAConsensus ให้ราคาเป้าหมาย RATCH62.17 บาท
* RATCH จับมือกับ CHOW ร่วมลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น เริ่มต้น 2โครงการกำลังผลิตรวม 33 เมกะวัตต์ โดยโครงการแรก 10.8 เมะวัตต์ และโครงการที่ 2 อีก 22.6เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าตั้งอยู่ที่จังหวัดฟูกูชิมะ อายุสัญญารับซื้อไฟฟ้า 20 ปี ในรูปแบบ Feed-intariff ที่อัตรา 40 เยน ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีการบริโภค) พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ปี 2559ทั้งนี้ได้มีการลงนามจัดตั้งสองบริษัทร่วมทุนแล้ว โดย RATCH ถือหุ้น 60% และ CHOW ถือหุ้น40%
* ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตอบรับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แล้วกว่า 7,000เมกะวัตต์ หลังจากที่มีปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ทำให้ญี่ปุ่นหันมาตื่นตัวเปิดรับการผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์และพลังงานทางเลือกมากขึ้น
* ความเห็น DBS Retail Research : นับเป็นข่าวบวกกับ RATCH และ CHOW โดยเราคาดว่า CHOW ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นมาก่อนจะช่วยให้โครงการเดินหน้าไปได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่า 2 โครงการนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่เมื่อโครงการเดินหน้าไปได้ด้วยดี ก็จะมีการเข้าไปประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นเพิ่มได้อีก ซึ่งจะช่วยให้ทั้ง RATCH และ CHOW มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่องในระยะยาว นอกเหนือจากโครงการอื่นที่ดำเนินการอยู่แล้ว
* สำหรับ RATCH กำลังอยู่ในช่วงเติบโตจากโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ได้ลงทุนไป และบางโครงการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เขาค้อ, โรงไฟฟ้าSPP#1 ที่เปิดดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 57 นอกจากนั้นในปี 58 จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า SPP#2 และโรงไฟฟ้าหงสาเฟส 1 ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 58 ฐานะการเงินดี จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ เราคาดการณ์ Dividend Yield ประมาณ 4% ต่อปีคำแนะนำ Not Rated โดยใน IAA Consensus มีนักวิเคราะห์ให้คำแนะนำ RATCH อยู่ 6 ราย(แนะนำซื้อ 5 ราย, Neutral 1 ราย) ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 62.17 บาท มี Upside จากราคาปิดวันศุกร์ที่ 58.75 บาทอยู่ 6%
* ส่วนธุรกิจ CHOW มีแนวโน้มเติบโตดี โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย Steel Billet(เหล็กแท่งที่นำไปรีดเป็นเหล็กทรงยาวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง) คาดว่าปีนี้จะมียอดขาย3-3.2 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปี 56 ที่มียอดขาย 2.8 แสนตัน และมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เปิดดำเนินการบางส่วนแล้วตั้งแต่ต้นปี 57 คาดว่าจะเห็นรายได้ส่วนนี้ชัดเจนมากขึ้นใน 4Q57เป็นต้นไป คำแนะนำ Not Rated และไม่มีข้อมูลใน IAA Consensus
• การเมือง : นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายรัฐบาล...เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยอาจให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมทุนด้วย มุ่งปรับปรุงเรื่องภาษีมรดก และภาษีที่ดินให้เสร็จภายในปีนี้
* เมื่อ 12 ก.ย. 57 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังแถลงนโยบายฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ถือว่าครอบคลุมทุกมิติ เป็นนโยบายที่สร้างความเข้มแข็งทุกระดับ และเน้นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องสามารถทำได้ทันทีทำได้จริง เห็นผลสัมฤทธิ์ และเห็นผลยั่งยืน ภายในระยะเวลา 1 ปี (เน้นทำงานอย่างจริงใจจริงจัง และยั่งยืน)
* สำหรับการยกเลิกกฏอัยการศึกนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลจะมีการพิจาณามาตรการลดผลกระทบจากการประกาศใช้กฏอัยการศึกในบางพื้นที่ที่มีผลต่อการท่องเที่ยวก่อน
* ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะมีการลงทุนร่วมกับภาคเอกชนเป็นหลัก แต่ต้องคำนึงถึงความโปร่งใสและสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2558 จะต้องกระจายงบประมาณให้ครอบคลุมทุกจังหวัด ทุกภาคอย่างเท่าเทียม ไม่มีการเลือกพื้นที่ และจะมีการกำหนดให้มีการรายงานความคืบหน้าการทำงานด้านเศรษฐกิจทุก 3 เดือนเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดความเหมาะสม
* ในด้านภาษี นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะคงอัตราภาษีเงินได้ไว้ในระดับปัจจุบันทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีทางด้านการค้าและขยายฐานการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ ซึ่งจะเก็บจากทรัพย์สิน เช่น ภาษีมรดก ภาษีจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้มีผบกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยให้น้อยที่สุด และเน้นย้ำว่าการเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินจะต้องทำให้ได้ภายในปี 2557 นี้
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]