- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 01 August 2018 21:26
- Hits: 7776
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
"ข่าวบวก...สหรัฐ-จีนเจรจายุติสงครามการค้าแบบลับๆ"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ - SET Index ปรับลงเล็กน้อย 0.08 จุด ปิดที่ 1701.79 จุด ระหว่างวันผันผวนยอดต่ำสุด-สุงสุดที่ 1695.59-1709.58 จุด ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ด้อยกว่าเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 57.0 พันล้านบาท การที่ดัชนีฯสามารถยืนเหนือระดับ 1700 ได้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง ระหว่างวัน BoJ เปิดเผยผลประชุมยังตัดสินใจคงดอกเบี้ยต่ำ ดีกว่าที่คาดก่อนหน้าว่าจะยกเลิกการผ่อนคลาย ยังผลให้ดอลลาร์แข็งค่า หุ้นกลุ่มหลักปรับตัวผสม แต่ตัวที่ค้ำจุนคือ ธนาคาร ADVANC และ MINT ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ ต่างประเทศ 1.8 พันล้านบาท และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.8 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.7 พันล้านบาท. สถาบัน 0.9 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์- ระยะสั้น SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ หลังมีข่าวในทางบวก 2 ข่าวคือ 1) สหรัฐ-จีนกำลังเจรจาลับๆยุติสงครามการค้า และ 2) ผลประชุมญี่ปุ่นโดยรวมยังคงนโยบายผ่อนคลายการเงิน ดีกว่าคาด ส่วนผลประชุมเฟด และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็คาดว่าจะเป็นไปตามคาด แต่ปัจจัยที่เป็นบวกคือ บาทแข็งค่า เงินไหลเข้า แม้ดอลลาร์แข็งขึ้นก็ตาม ส่วนน้ำมันวานนี้กลับปรับลง ถือว่าปัจจัยภายในประเทศก็ยังค้ำจุนอยู่ ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ และเก็งกำไรไตรมาส 2 หลักทรัพย์กลุ่ม non-bank หลังกลุ่มแบงค์ดีกว่าคาด แต่ยังควรต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา หลัง SET ขึ้นมาแรง ติดตามอียู เจรจาสหรัฐเรื่องภาษีรถยนต์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -7 จุด (8.02 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลงเล็กน้อย ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ภาพใหญ่ที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านจนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1670-1730 จุด หากสามารถยืนเหนือกว่า 1700 จุดได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี
Update หุ้นเด่น : HMPRO - เน้นจำหน่ายสินค้าในประเทศเป็นหลัก จึงได้รับผลดีจากกำลังซื้อในประเทศที่ฟืนตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจไทย ไม่ได้รับผลลบจากปัจจัยต่างประเทศที่ผันผวนโดยตรง ล่าสุดกำไร 2Q61 เป็น 1.3 พันล้านบาท เติบโตดี 16% y-o-y เพราะ SSSG เพิ่มและขยายสาขาอีก 2 แห่ง คงคำแนะนำซื้อ สืบเนื่องจากคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรที่แข็งแกร่ง โดยแรงสนับสนุนกำไรมาจาก ยอดขายที่เพิ่มขึ้นดี และประสิทธิภาพการทำกำไรที่สูงขึ้น กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 17.50 บาท ด้วย DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 19%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1710-1720, 1730 โดยมีแนวรับที่ 1670-1660
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น BBL,AP,BPP,MINT,STANLY,PTL,CPF ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ IRPC,CPT,GFPT,HMPRO,IVL หุ้นที่หลุด List AMATA,TPIPP,SSP และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ INTUCH, SCB, DELTA, AH, ROBINS
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา :[email protected]
OO11949