- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 July 2018 20:22
- Hits: 4831
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ปัจจัยบวก อียู-สหรัฐเจรจาคืบ ดอลลาร์อ่อน น้ำมันขึ้น”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับเพิ่มต่อ 15.86 จุด ปิดที่ 1690.08 จุด ถือว่าโดดเด่นเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายสูงขึ้นที่ 57.5 พันล้านบาท SET ดัชนีไปทำยอดสูงสุดถึง 1695.20 จุด ปัจจัยบวกคือ เก็งกำไรผลประกอบการ 2Q61 กลุ่ม non-bank หลังกลุ่มแบงค์ออกมาดีกว่าคาด ดอลลาร์อ่อนค่า เงินไหลกลับสหรัฐน้อยลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีลดลง บาทแข็งค่า Flow จากต่างประเทศไหลเข้า น้ำมันยังปรับขึ้น และสถาบันซื้อต่อเนื่อง แต่ตลาดยังกังวลเรื่องที่ทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่มถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ และขายลดความเสี่ยงก่อนวันหยุดยาว หุ้นกลุ่มหลักปรับขึ้นดี ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 4.4 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ 0.02 พันล้านบาท ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 4.1 พันลบ.และต่างประเทศ 0.3 พันลบ. ส่วนตลาด Future กลับเป็นว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ แต่สถาบันและนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นดี หลังอียูกับสหรัฐเจรจาการค้ามีความคืบหน้ายุติเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง บาทแข็งค่าเงินไหลเข้า และน้ำมันขึ้น จจัยภายในประเทศก็ยังค้ำจุนอยู่ ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง สถาบันซื้อต่อเนื่อง และเก็งกำไรไตรมาส 2 หลักทรัพย์กลุ่ม non-bank หลังกลุ่มแบงค์ดีกว่าคาด แต่ยังควรต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา หลัง SET ขึ้นมาแรง ติดตามอียู เจรจาสหรัฐเรื่องภาษีรถยนต์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ยังปรับขึ้นต่อด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +31 จุด (8.22 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับขึ้นดี ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี SET ปรับลงมามาก จนถูก P/E ปี 61 และ 62 เป็น 15.0 และ 13.9 เท่า ตามลำดับ ปันผลสูง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ภาพใหญ่ที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านจนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูงนักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยงระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1680-1720 จุด หากสามารถยืนเหนือฏว่า 1700 จุดได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี
Update หุ้นเด่น : MK – ตามเกณฑ์แล้ว SPALI จะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ MK ระหว่างวันที่ 25 ก.ค.-31 ส.ค.61 ที่ราคา 4.10 บาท แต่หากจะมีการปรับราคาเทนเดอร์ และขยายเวลา จะต้องแจ้งภายใน 10 ส.ค.61 ขณะที่ราคาหุ้น MK ปิดวานนี้ที่ 4.56 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาเทนเดอร์ฯ เราจึงคาดว่ามีโอกาสที่ SPALI จะปรับราคาขึ้น ขณะที่มูลค่าทางบัญชี MK เป็น 6.66 บาท ณ สิ้น 1Q61 และ NAV ที่เราประเมินเป็น 10.19 บาท ณ สิ้นปี 60 จึงได้คาดเพิ่มเติมอีกว่ามีโอกาสที่ที่ปรึกษาทางการเงินฟาก MK จะแนะนำว่าไม่ให้ไปเทนเดอร์เพราะมูลค่า MK สูงกว่ามาก จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไรหุ้น MK ที่ราคาพื้นฐาน 5.10-6.12 บาท ซึ่งเป็นส่วนลด 50% และ 40% จาก NAV ตามลำดับ ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 12%-34% ตามลำดับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่พร้อมกับเป็นลบได้ ส่วนความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1700-1710, 1720 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1670 จุด
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP,ORI,INTUCH,MINT,GFPT,HMPRO,BEC,PLANB ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ IRPC,JWD,CPT หุ้นที่หลุด List SGP และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ MONO,SCCC,SEAFCO,WORK,AOT,TKN
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น อียู-สหรัฐ เจรจาการค้าคืบหน้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,414.10 จุด เพิ่มขึ้น 172.16 จุด หรือ +0.68% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,846.07 จุด เพิ่มขึ้น 25.67 จุด หรือ +0.91% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,932.24 จุด เพิ่มขึ้น 91.47 จุด หรือ +1.17%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) ขานรับสัญญาณบวกจากการประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือกันเพื่อเตรียมยุติการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมรถยนต์ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU)
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันขึ้น สต็อกน้ำมันสหรัฐต่ำกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 69.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 73.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
• ทองคำ : ปรับขึ้น ผลพวงจากดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 6.3 ดอลลาร์ หรือ 0.51% ปิดที่ 1,231.8 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งช่วยให้สัญญาทองคำมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้น
+ อียู และสหรัฐ เจรจาการค้าสินค้าอุตสาหกรรมมีความคืบหน้า
# สหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU) ได้ตกลงที่จะร่วมมือกันเพื่อเตรียมยุติการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่รวมรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า และสนับสนุนการค้าสินค้าประเภทดังกล่าว ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างทั้งสองฝ่าย
# ทั้งนี้ การตกลงให้ความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวมีขึ้นในการประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งจัดขึ้นที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้
+ ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อน หลังยอดขายบ้านสหรัฐร่วงหนัก
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 5.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 631,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน หลังจากที่พุ่งขึ้น 6.7% แตะระดับ 666,000 ยูนิตในเดือนพ.ค.
+ จีนประกาศนำนโยบายการเงิน การคลังมาใช้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้อุปสงค์ในประเทศขยายตัว
# ที่ประชุมรัฐสภาจีนซึ่งมีนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ระบุว่า รัฐบาลจีนประกาศว่าจะนำนโยบายการเงินและการคลังมาใช้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงการปรับโครงสร้าง และกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจที่แท้จริง
-ญี่ปุ่นเปลี่ยนการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน ไปสู่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวเป็น 0%
# ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเปลี่ยนแปลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมาก ไปสู่การชี้นำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวไปแตะระดับ 0% โดย BOJ จะจัดการประชุมเป็นเวลา 2 วันในวันที่ 30-31 ก.ค. ต้องติดตาม เพราะจะมีผลต่อ Flow ทางการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต
- ทรัมป์ขู่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงินสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ หากมีความจำเป็น
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าทุกประเภทที่นำเข้าจากจีน หากมีความจำเป็น ทั้งนี้ วงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ดังกล่าวเทียบเท่ากับวงเงินสินค้าจีนที่นำเข้าสหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 5.055 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐส่งออกสินค้าไปยังจีนคิดเป็นมูลค่าเพียง 1.299 แสนล้านดอลลาร์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ ยานยนต์: ยอดขายตลาดรวมรถยนต์ในประเทศครึ่งปีแรกโต 19.3%
# บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยยอดขายตลาดรวมรถยนต์ในประเทศครึ่งปีแรกโต 19.3% หรืออยู่ที่ 489,118 คัน และคาดการณ์ยอดขายทั้งปี 61 จะอยู่ที่ราว 9.8 แสนคัน เติบโต 12.4% สูงขึ้นจากเดิมคาด 9 แสนคัน (Aspen)
# ผลกระทบ: อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีภาพการฟื้นตัวดีตามคาด Top Pick ในกลุ่ม แนะนำ ซื้อ AH ราคาพื้นฐานที่ 41.80 บาท
+ หลักทรัพย์: ก.ล.ต.มีแนวคิดให้ผู้ประกอบการธุรกิจซื้อขายในตลาดทุนแทนลูกค้าได้
# สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สามารถให้บริการซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนแทนลูกค้าได้ในขอบเขตที่จำกัดตามที่ลูกค้ายินยอม เพื่อเพิ่มโอกาสลงทุน และสนับสนุนการลงทุนที่หลากหลายให้แก่ผู้ลงทุน (Aspen)
# เป็นบวกกับกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งจะมีช่องทางการทำธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ธุรกิจดิจิทัล และอัตราแลกเปลี่ยนก็อนุญาตให้ทำได้ ช่วยชดเชยการพึ่งพิงธุรกิจเป็นตัวแทนค้าหลักทรัพย์ที่แข่งขันรุนแรง และไม่เป็นผลดีต่อผลการดำเนินงาน
+ บีโอไอเผย พิจารณาอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ถึง 4 โครงการ
# ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 4 โครงการมูลค่ารวมกว่า 29,631 ล้านบาท และมั่นใจว่ามูลค่าคำขอส่งเสริมการลงทุนทั้งปียังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 7.2 แสนล้านบาท โครงการเหล่านี้ได้แก่ ยักษ์ใหญ่ผลิตอาหารสัตว์ ขยายฐานผลิตในไทย ด้านนิสสัน-ฮอนด้า ลงทุนกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม หนุนศักยภาพการตลาดรถยนต์ในประเทศ ด้าน ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์เช่าเครื่องบินเพิ่ม 6 ลำ ขยายเส้นทางบินทั้งในและต่างประเทศ ดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน และจะได้ประโยชน์จากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจ (EEC) ภาคตะวันออกในอนาคต แนะนำ ซื้อ สำหรับ WHA และ ROJNA ส่วน AMATA แนะนำ ถือ
-/+ หลักทรัพย์เสียประโยชน์/ได้ประโยชน์ ยามบาทกลับมาแข็งค่า
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านลบ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวเสียประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้น้อยลงเป็น sentiment ลบกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์ได้ประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11830