WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
“ต่างประเทศไม่เป็นใจ ปัจจัยภายในคอยช่วย”
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับเพิ่มต่อ 4.69 จุด ปิดที่ 1675.75 จุด ใกล้เคียงตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 49.3 พันล้านบาท SET มีความผันผวนระหว่างวันสูงมาก ดัชนีไปทำยอดต่ำสุด-สูงสุดถึง 1665.92-1681.74 จุด ปัจจัยบวกคือ ดอลลาร์อ่อนค่า เงินไหลกลับสหรัฐน้อยลง และโมเม็นตัมแรงหนุนจากผลการดำเนินงาน 2Q61 ของแบงค์ใหญ่ดีกว่าคาด น้ำมันยังปรับขึ้น และสถาบันซื้อต่อเนื่อง แต่ตลาดยังกังวลเรื่องที่ทรัมป์จะเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่มถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ หุ้นกลุ่มหลักปรับขึ้นดี โดยเฉพาะแบงค์และกลุ่มโรงกลั่น แต่ TMB ลงแรงต่อเนื่อง หลังรายงานกำไรออกมาน่าผิดหวัง ด้านผู้ซื้อสุทธิหลักคือ ต่างประเทศ 1.6 พันลบ.และบัญชีหลักทรัพย์ 0.2 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 1.4 พันลบ.และสถาบัน 0.4 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET อาจได้รับผลลบจากปัจจัยต่างประเทศที่ไม่สดใสนัก คือ กังวลสงครามการค้า ญี่ปุ่นอาจยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ดอลลาร์แข็งค่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทะยานเป็น 2.9615% และน้ำมันลด แต่ปัจจัยภายในประเทศยังค้ำจุนอยู่ ได้แก่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง สถาบันซื้อต่อเนื่อง และกำไรไตรมาส 2 กลุ่มแบงค์ดีกว่าคาด ควรต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา หลัง SET ขึ้นมาแรง ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่บวกแคบๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +23 จุด (8.32 น.) นํ้ามันเช้านี้กลับลดลง ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐโดยรวมจะออกมาดี SET ปรับลงมามาก จนถูก P/E ปี 61 และ 62 เป็น 15.0 และ13.9 เท่า ตามลำดับ ปันผลสูง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าและเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ภาพใหญ่ที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ แต่หากทรัมป์ถูกต่อต้านจนต้องกลับมาเจรจาก็จะเป็นแรงดีดกลับของ SET ได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) หรือหุ้นไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1660-1700 จุด หากยืนเหนือหว่า 1700 จุดได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี
  Update หุ้นเด่น : BTS – คาดว่าส่วนหนึ่งกำไรปีนี้ (61-62) จะฟื้นตัวสูงถึง 71% มีผลมาจากขาดทุนบริษัทร่วมค้าและบริษัทร่วมที่มีอยู่จำนวนมากในปีที่ผ่านมาจะฟื้นตัวดีขึ้น คือ 1) U คาดว่าปีนี้จะพลิกมีกำไร เพราะคอนโดในนามบริษัทร่วมทุนกับ SIRI จะมีการโอนเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะให้กำไรเข้ามาถึง 300 ล้านบาท และ BTS บันทึกกำไรการขายอสังหาฯให้ U อีก 1.2 พันล้านบาท เมื่อมีการโอนเกิดขึ้น (จาก 4Q60-61 บันทึกไปแล้ว 1.8 พันล้านบาท) และ 2) Rabbit Line Pay ขาดทุนน้อยลง อีกทั้งการที่ AIS มาถือหุ้น ก็จะแบ่งส่วนขาดทุนมาน้อยลง ซึ่งปัจจุบัน VGI ถืออยู่ 1 ใน 3 เช่น ขาดทุนปีที่แล้ว 120 ล้านบาท จากการถือหุ้น 50% จะลดขาดทุนเหลือเป็น 79 ล้านบาท ให้ราคาพื้นฐาน BTS 11.00 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่พร้อมกับเป็นลบได้ ส่วนความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1680-1690, 1700 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1665 จุด
  สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น RS,ROBINS,MONO,SCC,CK,IRPC,SAWAD,JWD ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ MTC,GULF หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- และที่ให้หาจังหวะ Take profit คือ BBL,GFPT,TU
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลงเล็กน้อย วิตกสงครามการค้า
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,044.29 จุด ลดลง 13.83 จุด หรือ -0.06% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,841.87 จุด เพิ่มขึ้น 21.67 จุด หรือ +0.28% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,806.98 จุด เพิ่มขึ้น 5.15 จุด หรือ +0.18%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้าทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับลง วิตกสงครามการค้าลดอุปสงค์
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 67.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 73.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า ข้อพิพาทด้านการค้าที่เกิดขึ้นทั่วโลกอาจส่งผลกระทบอุปสงค์น้ำมันและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
• ทองคำ : ปรับลง ผลพวงจากดอลลาร์แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 5.5 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ 1,225.6 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ลดความน่าดึงดูดของสัญญาทองคำ นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับปัจจัยกดดันจากแรงขายทำกำไร
-ญี่ปุ่นเปลี่ยนการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน ไปสู่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวเป็น 0%
  # ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเปลี่ยนแปลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมาก ไปสู่การชี้นำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวไปแตะระดับ 0% โดย BOJ จะจัดการประชุมเป็นเวลา 2 วันในวันที่ 30-31 ก.ค.
- ทรัมป์ขู่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงินสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ หากมีความจำเป็น
  # ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าทุกประเภทที่นำเข้าจากจีน หากมีความจำเป็น ทั้งนี้ วงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ดังกล่าวเทียบเท่ากับวงเงินสินค้าจีนที่นำเข้าสหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 5.055 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐส่งออกสินค้าไปยังจีนคิดเป็นมูลค่าเพียง 1.299 แสนล้านดอลลาร์
- ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็ง ช้อนซื้อเก็งกำไร หลังร่วงหนัก
  # ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากดอลลาร์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ อันเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเห็นคัดค้านนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
-G20 เตือนสงครามการค้า เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
  # ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของกลุ่ม G20 ออกแถลงการณ์เตือนว่า สงครามการค้าและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการเจรจาและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาคือ NAR และ CFNAI ยังร้อนแรง
  # สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 0.6% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.38 ล้านยูนิต โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่ถูกกระทบจากภาวะขาดแคลนบ้านในตลาด ซึ่งส่งผลให้ราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
  # ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ดีดตัวสู่ระดับ +0.43 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ -0.45 ในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงการดีดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในเดือนมิ.ย. โดยเฟดสาขาชิคาโกระบุว่า ดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นบวกในเดือนมิ.ย. มีสาเหตุจากการปรับตัวขึ้นของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต รวมทั้งตัวชี้วัดเกี่ยวกับยอดขาย, คำสั่งซื้อ และปริมาณสินค้าคงคลัง
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย.,ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ เอกชน 31 รายเข้ารับฟังการชี้แจงรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ชูจุดเด่นเงื่อนไขได้สิทธิพัฒนาที่ดิน รฟท.
  # ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดงานชี้แจงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา มูลค่าราว 2 แสนล้านบาท เพื่อให้ข้อมูลโครงการและเปิดเวทีให้ผู้ซื้อซองเอกสารได้ซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการลงทุนและข้อมูลเกี่ยวโครงการ โดยมีเอกชนผู้ซื้อเอกสารทั้ง 31 รายมาร่วมงานครบทั้งหมด
  # นายวรวุฒิ คาดว่า ในเบื้องต้นน่าจะมีเอกชนเข้ามายื่นเอกสารข้อเสนอเข้าร่วมโครงการประมาณ 3-4 กลุ่ม ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสรุปผลการประมูลในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ปี 62 หลังจากนั้นจะลงนามสัญญาภายใน 30 วัน ให้เวลาก่อสร้าง 5 ปีคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในกลางปี 62 และสามารถเปิดให้บริการในกลางปี 67
  # ในช่วงต้นเอกชนสามารถสร้างรายได้จากการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ซึ่ง รฟท.จะมอบสิทธิการเช่าพื้นที่สถานีมักกะสันราว 100 ไร่ และใน อ.ศรีราชา อีก 25 ไร่ ขณะเดียวกัน รฟท.ก็จะเวนคืนที่ดินใน จ.ฉะเชิงเทรา ที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่เกษตรกรรมในเส้นทางระหว่าง อ.เมือง และ อ.บางน้ำเปรี้ยวจำนวนกว่า 300 ไร่ ใช้งบค่าเวนคืนราว 3 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 62 เพื่อใช้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุง คาดว่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างออก พ.ร.ฎ.เวนคืน
  # ผลกระทบ: เป็นบวก มีเอกชนในหลายธุรกิจให้ความสนใจ ได้แก่ ผู้รับเหมาก่อสร้าง เช่น CK, ITD และผู้บริหารเดินรถ BTS. BEM รวมทั้งเอกชนในธุรกิจอื่นๆ เช่น TPIPL และ กลุ่ม ซีพี เป็นต้น เนื่องจากคาดว่าโครงการนี้จะดีในระยะยาว และได้สิทธิพัฒนาที่ดิน รฟท. ที่มีทำเลดี เป็นแหล่งขนส่ง (Traffic) และใช้รถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินได้
+ ส่งออกไทย มิ.ย.เติบโตดี +8.2% y-o-y และนำเข้า +10.8% y-o-y
  # วันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์ แถลงมูลค่าส่งออกไทยเดือน มิ.ย. ขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ 8.2%YOY นำโดยการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป และเคมีภัณฑ์และพลาสติก ที่เติบโต 23.5%YOY และ 13.6%YOY ตามลำดับด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลักยังคงเติบโตได้ดี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และรถยนต์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 12.0%YOY และ 7.4%YOY ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การส่งออกยางพารายังคงหดตัว 10.4%YOY จากราคาในตลาดโลกที่ตกต่ำ ทั้งนี้ การส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 11.0%YOY
  # ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเติบโตต่อเนื่องที่ 10.8% YOY จากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มสินค้าเชื้อเพลิงที่เติบโตกว่า 49.9%YOY ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ด้านการนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังขยายตัวที่ 23.1%YOY ตามแนวโน้มการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่มดังกล่าว ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุน (ไม่รวมเครื่องบินและเรือ) ขยายตัว 15.2%YOY ส่งผลให้การนำเข้าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 15.6%YOY
+ ธนาคารพาณิชย์ 6 แห่งประกาศงบการเงิน 2Q61 แล้ว ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด
  # กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 6 แห่ง ได้ประกาศงบการเงิน โดยในไตรมาส 2 ปี 61 มีกำไรสุทธิรวม 23,911.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,250.3 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ครึ่งแรกปี 61 กำไรสุทธิรวม 47,976.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,287.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 60 ส่วนใหญ่กำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากปัจจัยสนับสนุนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อตามการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ขยายตัวในทุกกลุ่ม ทั้งรายย่อย เอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ปรับลดเพราะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล
+ รมว.คลัง เห็นว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปีนี้ยังเดินหน้าต่อไปได้
  # รมว.คลัง เปิดเผยในงานสัมมนา ทิศทางหุ้น ครึ่งปีหลัง (ฟุบหรือไปต่อ) ว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังสามารถเดินหน้าต่อได้ และมั่นใจว่าทั้งปีจีดีพีจะโตได้ 4.5% แน่นอน แม้ไทยยังต้องเผชิญกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ส่งผลให้เงินทุนไหลออก จากไทยถึง 1.5 แสนล้านบาท ต้นปีที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะไทยมีภูมิคุ้มกันที่ดีอยู่ ทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง แถมค่าเงินบาทที่อ่อนค่ายังเป็นผลดีต่อการส่งออก
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11700

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!