- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 July 2018 18:03
- Hits: 3903
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ดาวโจนส์ น้ำมันเสริม SET ไปต่อ แต่อาจมีแรงขายสลับ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ไปต่อ 8.20 จุด ปิดที่ 1622.96 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 42.3 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุดเป็น 1629.21 จุด ปัจจัยบวกคือ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมง อ่อนกว่าคาด เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยช้าลง และความกังวลสงครามการค้ารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว หลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นดีและมูลค่าการซื้อขายสูงคือ CPALL และ PTT แต่มีบางหลักทรัพย์ผันผวนสูง เช่น BEAUTY หลังประกาศรายละเอียดการซื้อหุ้นคืนและ KBANK ปรับลดจากคาดการณ์ว่า 2Q61 จะมีค่าใช้จ่ายโปรโมท Apps สูง ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 3.9 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.6 พันลบ. บัญชีหลักทรัพย์ 0.8 พันลบ. และรายย่อย 0.5 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อ จากการคาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี สอดคล้องกับตัวเลขจ้างงานที่ออกมามาก ดาวโจนส์ ราคาน้ำมันปรับขึ้น หลังลิเบียส่งออกน้อยลง และความกังวลสงครามการค้ารับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับขึ้นได้ต่อ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +100 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับขึ้น แต่ก็อาจมีแรงขายสลับออกมาได้ จากปัจจัยดอลลาร์กลับมาแข็งค่า เงินไหลออก ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมและทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1650 จุด
Update Industry: ธนาคารพาณิชย์ – ใกล้ประกาศงบ 2Q61 คาดการณ์กำไรจึงมีความสำคัญ DBS พบว่า สำหรับ 8 ธนาคารที่วิเคราะห์ คาดว่ากำไรสุทธิ 2Q61F จะอยู่ที่ 40.3 พันล้านบาท (+3.6%YoY, -11.3%QoQ) โดย KTB จะมีกำไรเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบ YoY เนื่องจากฐานกำไรปีก่อนต่ำและปีนี้ตั้งสำรองฯน้อยลง ส่วนธนาคารที่ประมาณการว่าจะมีกำไรก่อนสำรองฯไตรมาสนี้โต YoY และ QoQ คือ TCAP (+14.7%YoY, +4.1%QoQ) ขณะที่ KBANK, SCB และ TMB คาดว่าจะมีกำไรก่อนสำรองฯ ลดลงทั้ง YoY และ QoQ ด้านผลจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมผ่านระบบดิจิตอลแบงค์กิ้งตั้งแต่ปลายมี.ค.61 เราคาดว่า SCB จะมีค่าใช้จ่ายด้านนี้มากที่สุด ขณะที่ KBANK จะถูกกระทบเรื่องรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงมากสุด ให้ BBL และ TMB เป็นหุ้น Top Picks – คาดว่าทั้งสองธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกค่าธรรมเนียมผ่านออนไลน์น้อยกว่าธนาคารอื่น และยังมีโอกาสเติบโตที่ดีในอนาคต ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวสดใส ราคาพื้นฐาน 218.00/3.10 บาท ตามลำดับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้างอย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1630-1640, 1650 โดยมีแนวรับ 1580-1560
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KKP, PSH, EGCO, CPALL, M, PLANB ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, PTTGC, GLOBAL, HANA, MINT, BEM หุ้นที่หลุด List WORK และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ GOLD, SGP
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง นักลงทุนมีมุมมองบวกกับผลประกอบการ
# นักวิเคราะห์จากสถาบันเพื่อการลงทุนของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในเดือนมิ.ย.นั้น ทำให้นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าทั้งสองประเทศได้บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าล็อตแรกวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
-อังกฤษประสบปัญหาการเมือง จากเรื่อง Brexit
# เงินปอนด์อ่อนค่าลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางการเมืองในอังกฤษ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ และนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจาก EU โดยเดวิสกล่าวว่า เขาไม่สามารถสนับสนุนแผนการของนางเมย์ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ EU ต่อไป หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกมา พร้อมระบุว่า นางเมย์ยอมอ่อนข้อต่อ EU มากเกินไป และง่ายเกินไป
-ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า จากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร
# สกุลเงินดอลลาร์ยังคงได้ปัจจัยหนุนจากตัวเลขจ้างงานสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
+ เฟดอาจไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงขยายตัวต่ำกว่าคาด
# ศุกร์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 5 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. โดยการชะลอตัวของค่าจ้างในเดือนมิ.ย.ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
-/• ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นสูง แต่อัตราว่างงานสูงกว่าคาด
# ศุกร์ที่ผ่านมาประกาศกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%
+ นักเศรษฐศาสตร์กลับคาดสงครามการค้ามีผลไม่มาก
# แต่นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางจีน กล่าวว่า สงครามการค้ามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างจีนและสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในวงจำกัดเท่านั้น คือ GDP ของจีนเติบโตช้าลงเพียง 0.2%
# นักวิเคราะห์จากบริษัทแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ในรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐ กล่าวว่า มูลค่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนเมื่อวันศุกร์นั้น ไม่มากพอที่จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และไม่ได้มากเท่ากับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่า ยังมีโอกาสที่สหรัฐและจีนจะเจรจาเพื่อต่อรองกันในเรื่องนโยบายการค้า
+ จีนยังเดินหน้าสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ ส่วนฟิลิปปินส์เจรจากับสหรัฐ
# นายกรัฐมนตรีจีนเปิดเผยว่า "จีนจะเดินหน้าพัฒนาและสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจต่อไป โดยไม่คำนึงถึงแรงกดดันจากภายนอก"
# วานนี้ฟิลิปปินส์และสหรัฐได้เริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับวิธีการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับทวิภาคีให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ในการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)
• ญี่ปุ่น ยังมีมุมมองเป็นบวกกับเศรษฐกิจ แต่อาจได้รับผลกระทบสหรัฐตั้งกำแพงภาษี
# ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่น โดยคาดว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะยังคงขยายตัวในระดับปานกลาง แม้ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและราคาผู้บริโภคอ่อนแรงลงก็ตาม
# ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า การตั้งกำแพงภาษีเหล็กนำเข้าของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในแถบตะวันตกของญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และสินค้าขั้นสุดท้าย
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับขึ้น การผลิตน้ำมันลิเบียลดลง และสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ขยับขึ้น 5 เซนต์ ปิดที่ 73.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 78.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้เมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการผลิตน้ำมันของลิเบีที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า ตลาดน้ำมันจะประสบภาวะตึงตัวหากสหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาด
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น รับแรงซื้อหุ้นธนาคารและเทคโนโลยี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,776.59 จุด พุ่งขึ้น 320.11 จุด หรือ +1.31% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,756.20 จุด เพิ่มขึ้น 67.81 จุด หรือ +0.88% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,784.17 จุด เพิ่มขึ้น 24.35 จุด หรือ +0.88%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ต่างก็ทำสถิติปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีดตัวขึ้น ก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะทยอยเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งการที่นักลงทุนยังคงขานรับตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเช่นกัน
• ทองคำ : ปรับขึ้น กลับมาวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 3.8 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,259.6 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/• กนง.ยังพิจารณาปัจจัยที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย
# บันทึกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ระบุว่ากนง.ได้พิจารณาเงื่อนไขและเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคตโดยมองว่าหากเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อเนื่องและเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายชัดเจนขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องใช้ดอกเบี้ยต่ำมากเป็นพิเศษจะเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม กนง.ประเมินว่านโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าที่รุนแรงขึ้นอาจกระทบการขยายตัวของการค้าโลกในปี 2562 มากกว่าที่ประเมินไว้
+/• BEAUTY เปิดเผยรายละเอียดการซื้อหุ้นคืนแล้ว สัดส่วนซื้อคืนน้อย
# จากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้แจ้งว่าจะทำการซื้อหุ้นคืน จำนวน 64 ล้านหุ้น หรือ 2.13% จากทุนจดทะเบียน และใช้วงเงิน 950 ล้านบาท วิธีการคือ ซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 24 ก.ค.61-23 ม.ค.62
# ผลกระทบ: ปกติการซื้อหุ้นคืน ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เพียงแต่หากราคาหุ้นลงมา ก็จะมีแรงซื้อเข้ามาพยุง เมื่อบริษัทเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากไป วานนี้ราคาหุ้นปรับลง คาดว่าส่วนหนึ่งมาจากความผิดหวังที่สัดส่วนการซื้อหุ้นคืนน้อย และเมื่อถึงกำหนดในอนาคตภายใน 3 ปีหลังจากซื้อ บริษัทต้องตัดสินใจว่าจะขายออกมาในตลาดฯหรือลดทุนจดทะเบียน ซึ่งจะให้ผลแตกต่างกันคือ
1) ขายออกมา อาจมีแรงขาย (selling pressure) ในช่วงนั้น
2) หรือลดทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้นก็จะน้อยลง ทำให้ EPS, DPS, ROE เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากซื้อคืนเพียง 2.13% ก็จะไม่มีผลมากนัก
# คำแนะนำ: ฝ่ายวิจัยฯ DBS แนะนำ ถือ ที่ราคาพื้นฐาน 9.00 บาท
+ GULF ศาลปกครองรับฟ้องกัลฟ์ กล่าวหา กกพ.
# บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) แจ้งว่า ตามที่ บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.60 แต่ กกพ.มีมติไม่ออกใบอนุญาต ต่อมาบริษัทได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมาย แต่ กกพ.ยังมีมติยืนยันไม่ออกใบอนุญาตดังกล่าวเช่นเดิม บริษัทจึงได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองกลางเนื่องจากเห็นว่าบริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการในการจะได้รับใบอนุญาตดังกล่าว และบริษัทมีความเห็นว่า กกพ.ไม่อาจอ้างเหตุใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อปฎิเสธการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทได้ ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งรับคำฟ้องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
+/• QH: ทริสคงอันดับเครดิตไว้ที่ “A-“
# ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ QH ที่ระดับ "A-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และความยืดหยุ่นทางการเงินจากการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับยอดขายและรายได้ของบริษัทที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง และลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง
# ความเห็น: ปีนี้มีข้อดีคือ คอนโด Q สุขุมวิท (มูลค่า 10.2 พันล้านบาท ขายแล้ว 26%) จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ คาดว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของรายได้และกำไร คาดการณ์อัตราเติบโตกำไรหลักปีนี้/ปี 62 ดีเป็น 21%/16% y-o-y หลังปี 60 โตเพียง 10% ประเมินราคาพื้นฐาน 3.77 บาท ด้วยวิธี RNAV ซึ่งใช้ส่วนลดถึง 20% แล้ว ถือว่าบริษัทมั่งคั่งสินทรัพย์มาก มีเงินลงทุนทั้งใน HMPRO และ LHBANK ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีปีนี้และปีหน้าเป็น 5.7%/6.3% ตามลำดับ
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO11025