- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 06 July 2018 18:07
- Hits: 11220
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เสี่ยงสงครามการค้า แต่ยุติเก็บภาษีรถยนต์ยุโรป”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ดิ่งลงแรงถึง 27.78 จุด ปิดที่ 1601.42 จุด อยู่ในเกณฑ์ปรับลงมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายทรงตัวที่ 55.7 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีเหวี่ยงถึง 32 จุด จากยอดสูงสุด-ต่ำสุด มีไปทำยอดต่ำสุดกว่า 1600 จุดเป็น 1596.55 จุด นักลงทุนขายลดความเสี่ยงจากปัจจัยสงครามการค้าที่จีน-สหรัฐฯจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าศุกร์นี้ และรอดูตัวเลขจ้างงานศุกร์นี้ เป็นปัจจัยที่ตลาดฯยังกังวล หลักทรัพย์ที่ปรับตัวลงมากคือ BEAUTY และดึงให้หลักทรัพย์ที่ส่งออกไปจีนปรับตัวลงแรงไปด้วย สำหรับหุ้นที่มีผลลบกับดัชนีฯมากคือ PTT, IVL และ EA ด้านผู้ซื้อสุทธิรายเดียว คือ รายย่อย 1.8 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 1.3 พันลบ. สถาบัน 0.4 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 0.06 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET คาดว่าจะผันผวนมาก หลังวานนี้ลงหนัก เพราะสงครามการค้า การปรับขึ้นภาษีฟากสหรัฐกว่าจะทราบเป็นวันเสาร์ไปแล้ว ส่วนจีนซึ่งถึงวันที่ 6 ก.ค.ก่อน จะรอดูท่าทีสหรัฐ ยังไม่ขึ้นทันที แต่ทรัมป์ให้ข่าวว่าจะปรับขึ้นแน่ จึงยังมีความเสี่ยงที่จะมีแรงขายหุ้นออกมาอีก แต่มีข่าวดีแทรกขึ้นมาคือ สหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรป จึงอาจช่วยพยุง SET ส่วนรายงานผลประชุมเฟด มิ.ย. บ่งชี้การปรับขึ้นดอกเบี้ย และวันศุกร์ 6 ก.ค.61 มีประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรหลังตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเมื่อคืนนี้ออกมาซบเซา ราคาน้ำมันปรับลง ดาวโจนส์ปรับขึ้น ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งแคบๆ มีรีบาวด์ บางตลาด ดาวโจนส์ล่วงหน้า -20 จุด น้ำมันล่วงหน้าลด ส่วนเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทออ่ น นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยงระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1630 จุด
Update หุ้นเด่น: CPN – ปัจจัยพื้นฐาน CPN ยังแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดศูนย์การค้าไทย ที่ประสบความสำเร็จสูง คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าสูงเป็น 26%/13% ตามลำดับ ทั้งนี้จะได้รับกำไรจากคอนโดที่เปิดขายมาก่อนหน้านี้ช่วยสนับสนุนด้วย ราคาหุ้นปรับลง คาดว่ามาจากข่าวการเข้ามาแข่งขันในการพัฒนาโครงการ outlet mall จากยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐคือ Simon Property Inc โดยร่วมมือกับสยามพิวรรธน์ แต่เราเห็นว่าผลกระทบยังค่อนข้างจำกัด หากเทียบพื้นที่แล้วโครงการ Central Village มี 4 หมื่นตรม. เทียบกับพื้นที่ทั้งหมดที่ตามแผน CPN เป็น 1.8 ล้านตรม. และเป็นเพียง 1 โครงการ เทียบกับปัจจุบันมีทั้งหมดถึง 32 โครงการ อีกทั้งเราเชื่อว่า CPN จะแข่งขันได้ จากทีมผู้บริหารมีความสามารถสูง ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 85.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนเป็นลบ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1610-1620, 1630 โดยมีแนวรับ 1580-1560
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KTB,INTUCH ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, PTTGC, GLOBAL, SPALI, GULF, BDMS, BJC, KBANK, MTC, WORK หุ้นที่หลุด List GULF, AP,SYNEX,CENTEL และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/+ จับตาวันนี้เริ่มเก็บภาษีนำเข้า จีน-สหรัฐ เวลาจีนมาถึงก่อน แต่ยังไม่ใช้ และสหรัฐกว่าจะรู้เป็นเสาร์
# ตามเวลาแล้วจีนจะเร็วกว่าสหรัฐ แต่ท่าทีของจีนคือ จะไม่รีบขึ้นภาษีนำเข้า รอดูท่าทีสหรัฐฯก่อนว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจริงหรือไม่ จึงจะตอบโต้ ส่วนเวลาของสหรัฐก็ช้ากว่าไทย กว่าจะทราบว่ามีการเก็บภาษีนำเข้าจริงหรือไม่ ก็จะเป็นวันเสาร์และตลาดหุ้นไทยไปตอบรับในวันจันทร์หน้า วันนี้จังยังต้องติดตามท่าทีของสหรัฐ และสิ่งที่สหรัฐต้องตระหนักในเรื่องการทำสงครามการค้า ข้อดีคือ ช่วยปรับลดการขาดดุลการค้า แต่ประชาชนจะเดือดร้อนจากรายการสินค้าบางประเภทที่ปรับขึ้นสูง จากการถูกตอบโต้ ในที่สุดทรัมป์จะถูกต่อต้านหรือไม่ หรือในที่สุดทรัมป์จะเปลี่ยนใจไม่เก็บภาษีอย่างรุนแรงกับจีน
# นักลงทุนในตลาดการเงินต่างก็จับตารัฐบาลจีนและสหรัฐซึ่งเตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ โดยในวันดังกล่าว สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกัน
# ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้า โดยขณะนี้แคนาดาได้เริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเป็นวงเงิน 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากแคนาดา ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 2.94 แสนล้านดอลลาร์ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป
-แต่ทรัมป์ยืนยันว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนแน่นอน
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% วงเงินรวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในวันนี้ ตามกำหนดการที่ได้วางไว้ โดยมีเป้าหมายที่จะตอบโต้จีนที่ขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
+ ทรัมป์ส่งสัญญานยุติเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรป
# ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะยุติการเรียกเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป ขณะที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้ออกมาสนับสนุนให้สหภาพยุโรป (EU) ปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐเช่นกัน
-/+ รายงานเฟด ยืนยันปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนตัวเลขแรงงานออกมาซบเซา
# เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 12-13 มิ.ย. โดยกรรมการเฟดยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และยังคงยืนยันถึงจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้กรรมการเฟดมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของข้อพิพาททางการค้าก็ตาม
# กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 231,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 225,000 ราย
# ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 177,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง
+/• คืนนี้ติดตามประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร
# นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 3.8%
+ ดอลลาร์อ่อนค่า ตัวเลขแรงงานออกมาซบเซา
# ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร อันเนื่องมาจากข้อมูลแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.30% แตะที่ระดับ 94.13 ณ เวลา 24.12 น.เมื่อคืนนี้
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมันลดลง เพราะสต็อคสหรัฐสูง และทรัมป์เรียกร้องให้โอเปกปรับลดราคาน้ำมัน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 77.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้เรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับลดราคาน้ำมัน
+ ภาวะตลาดหุ้น : ปรับขึ้น สะท้อนข่าวยกเลิกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,356.74 จุด เพิ่มขึ้น 181.92 จุด หรือ +0.75% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,736.61 จุด เพิ่มขึ้น 23.39 จุด หรือ +0.86% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,586.43 จุด เพิ่มขึ้น 83.75 จุด หรือ +1.12%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) ขานรับรายงานข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะยุติการเรียกเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป ขณะที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้ออกมาสนับสนุนให้สหภาพยุโรป (EU) ปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย. ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า คณะกรรมการเฟดยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และยังคงเดินหน้าแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ทองคำ : ปรับขึ้น หลังดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 5.30 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 1,258.80 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร อันเนื่องมาจากข้อมูลแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนหนึ่งเทขายสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศต่อไป
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดุลการค้าเดือนพ.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ ดัชนีความเชื่อมั่น มิ.ย.61 ปรับตัวสูงขึ้น
# ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มิ.ย.61 อยู่ที่ 81.3 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค. เนื่องจากผู้บริโภคเห็นว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีให้กำลังซื้อในกลายจังหวัดทั่วประเทศปรับตัวดีขึ้น
+ กนง. มองระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ
# ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ร่วมกับคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) มองระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ปรับดีขึ้น ธนาคารพาณิชย์และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศมีความเข้มแข็ง สะท้อนจากภาระหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่องและเงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศและภาวะการเงินโลกที่ผันผวนขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก และความกังวลเกี่ยวกับนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
+ กระทรวงการคลังเผยการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ม.ค.-พ.ค.61 เติบโตดี
# กระทรวงการคลัง เผยผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.61) อยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 61% เป็นผลจากการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น รถไฟทางคู่, รถไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
-หุ้นที่เกี่ยวข้องกับตลาดฯไปจีนและเครื่องสำอางปรับลงหนัก
#หลัง BEAUTY ได้กล่าวถึงตลาดจีนเข้ม อย. มีแบรนด์อื่นในไทยไม่ผ่านอย. ทางจีนได้ตรวจสินค้านำเข้าเข้มงวด ใช้เวลาตรวจนาน ยอดขายลด ก็พลอยทำให้หุ้นส่งออกไปจีนได้รับผลกระทบไปด้วย คือ กังวลว่ายอดขายจะลด แม้เป็นสินค้าอื่นๆ เช่น TKN, CBG ส่วนหลักทรัพย์ส่งออกเครื่องสำอางไปจีน ก็ได้รับผลกระทบ เช่น DDD และแม้แต่แค่ขายเครื่องสำอางในประเทศเช่น RS ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ว่าจะถูกตรวจเข้มจาก อย.
+/• BTS ออกมาตรการเยียวยากรณีรถไฟฟ้าขัดข้อง แต่ใช้เงินไม่มาก 20-30 ล้านบาท
# BTS ออกมาตรการเยียวยากรณีรถไฟฟ้าขัดข้อง พร้อมคืนเงินค่าโดยสารหลังเหตุล่าช้าเมื่อสัปดาห์ก่อน หรือจะเลือกใช้การเดินทางครั้งใหม่ได้เพิ่มขึ้น ทั้งประเภทตั๋วเที่ยวเดียวรายเดือน และบัตรเติมเงิน
# ผลกระทบ: ถือว่าตัวเงินที่ใช้ในการเยียวยาน้อยเพียง 20-30 ล้านบาท เทียบกับกำไรหลักปี 60-61 ของ BTS ที่ 1,559 พันล้านบาท เป็นเพียง 1.3%-1.9% จึงจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานเพียงเล็กน้อย ส่วนการลงทุนซื้อเครื่องป้องกันคลื่น คาดว่าเมื่อมีการตัดเป็นค่าเสื่อมราคาก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่มากเช่นกัน ด้านการสูญเสียลูกค้าไปใช้ BEM หรือ เดินทางด้วยวิธีอื่น ก็จะสูญเสียรายได้ไปไม่มาก เพราะเป็นเพียงบางส่วน และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อกลับมาให้บริการได้ปกติ ก็จะกลับมาใช้ BTS เช่นเดิม คงคำแนะนำ ซื้อ BTS ที่ราคาพื้นฐาน 11.00 บาท
+ กทม.ต้องการให้ BTS สนับสนุนเงินทุนที่กทม.จะไปรับมอบสินทรัพย์รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือและใต้
# กรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องการให้ บีทีเอสสนับสนุนเรื่องเงินทุนในการที่กทม.จะไปรับมอบสินทรัพย์รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือและใต้ มูลค่าราว 1 แสนล้านบาทนั้น นายคีรี กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการเจรจากันอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าบีทีเอสจะลงทุนให้ก่อนโดยแลกกับการขยายอายุสัญญาสัมปทาน
# ผลกระทบ: เรื่องนี้ต้องติดตาม เพราะมีจะมีผลต่อ BTSGIF และบริษัทแม่อย่าง BTS เอง ข้อดีคือ ได้ขยายระยะเวลาสัมปทานมีรายได้และกำไรในอนาคตเพิ่มขึ้น แต่ต้องบริหารเงินให้ดี เพราะใช้เงินลงทุนสูง
-GGC: ก.ล.ต.ให้บอร์ดเร่งดำเนินการและเปิดเผยผลการตรวจสอบวัตถุดิบสูญหาย
# สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. ให้คณะกรรมการบมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ชี้แจงกรณีข้อมูลวัตถุดิบคงคลังในระบบแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับปริมาณวัตถุดิบคงคลังที่มีอยู่จริง และประเมินความเพียงพอของระบบควบคุมภายใน พร้อมทั้งเปิดเผยผลการตรวจสอบให้สาธารณชนทราบเป็นการทั่วไปผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561
+ เอกชนจีน-เกาหลี 3 ราย เข้าซื้อซองประกวดราคาไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินวันนี้
# รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5 ก.ค.) มีผู้สนใจมาซื้อซองเสนอราคาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเพิ่มเติมจำนวน 3 บริษัท คือ 1.China Resources (Holdings) Company Limited 2.CITIC Group Corporation และ 3.Korea-Thai High-Speed Railroad Consortium Inc.
# ขณะนี้มีผู้เข้ามาซื้อเอกสารประมูลแล้วจำนวน 19 ราย ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 61ทั้งนี้ รฟท.กำหนดเวลาการขายเอกสารไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค.61 เวลา 09.00-12.00 น.และเวลา 13.00-15.00 น. หลังจากนั้นจะเปิดรับซองเอกสารเสนอราคาในวันที่ 12 พ.ย.61
# ผลกระทบ: เป็นบวก เปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาหลักของไทยหลายราย ผู้นำการบริหารเดินรถ BTS และ BEM ก็ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่ในสาขาอื่น เช่น กลุ่มซีพี ปตท. TPIPL และต่างชาติด้วย คาดว่าเมื่อผ่านคุณสมบัติแล้ว ก็จะมีการจับคู่กันเป็นพันธมิตร เพื่อเสนอราคากันต่อไป
-/• PTT: เตรียมประชุมบอร์ดถกแผนยุทธศาสตร์ 7 ก.ค.61
# ปตท.เตรียมประชุมคณะกรรมการนัดพิเศษ ในวันที่ 7 ก.ค.นี้ หลังจากที่ได้ประชุมผู้บริหารระดับสูงกลุ่มปตท. เพื่อกำหนดยุทธ์ศาสตร์และทิศทางในอนาคตกลุ่ม (Strategic Thinking Session:STS) มาแล้ว โดยทิศทางแผนธุรกิจของปตท.ยังคงคล้ายเดิม แต่อาจจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Disruptive Technology) ส่วนการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเรื่องโยกย้ายผู้บริหารของกลุ่มปตท.นั้น จะมีการประชุมอีกครั้งหนึ่ง
# สำหรับการจัดทำแผนธุรกิจก๊าซธรรมชาติของปตท.นั้น ก็คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากแผนเดิมที่เคยทำไว้ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP) ของประเทศแล้วเสร็จ เนื่องจากก๊าซฯ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของการผลิตไฟฟ้าอาจจะถูกกระทบจากปริมาณการใช้ที่ชะลอตัวลง หลังจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าแบบผลิตเองใช้เอง (Isolated Power Supply :IPS) ในกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปมีมากขึ้น จนกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
# ผลกระทบ: แม้ธุรกิจก๊าซดูเป็นลบ แต่คาดว่าจะต้องใช้เวลากว่าการผลิตไฟฟ้าใช้เองจะมีปริมาณที่มากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ก๊าซที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม PTT ต้องมีการปรับตัว จะสังเกตได้ว่าราคาหุ้นตัวลูกคือ PTTEP มีการปรับตัวดีกว่า PTT ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น แต่ PTT ยังมีธุรกิจอื่นๆในกลุ่มด้วย เช่น โรงกลั่น ซึ่งระยะนี้ค่าการกลั่นก็ไม่ดีนัก ก่อนหน้านี้บอร์ด ปตท.หั่นงบลงทุนปีนี้ 2.5 หมื่นล้านบาท เน้นปรับลดในธุรกิจน้ำมันและท่อส่งก๊าซ อ้างเพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ด้วย
+ ดัชนีเรือเทกองพุ่ง คาดมีการเก็งกำไร PSL, TTA
# ดัชนีเรือเทกอง (Baltic Dry Index) ปรับเพิ่มขึ้นดี วานนิ้ปิดที่ 1,612 จุด เพิ่ม 2.87% มีโอกาสไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 1,743 จุด เมื่อ 12 ธ.ค.60 คาดว่าจะมีการเก็งกำไรหลักทรัพย์กลุ่มเรือเทกอง ได้แก่ PSL และ TTA
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10914