- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 July 2018 17:23
- Hits: 3500
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“วานนี้ตลาดสหรัฐปิด ใกล้วันสงครามการค้าสหรัฐ-จีนเริ่ม”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BEAUTY (จากซื้อเป็นถือ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index ยังเพิ่มได้ต่อแต่น้อยเป็น 2.58 จุด ปิดที่ 1629.20 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่แกว่งในกรอบแคบๆ มูลค่าซื้อขายทรงตัวจากวานนี้ที่ 58.2 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีเหวี่ยงถึง 16 จุด จากยอดสูงสุด-ต่ำสุด มีปัจจัยบวกจากดอลลาร์ที่แข็งค่าและราคาน้ำมันปรับขึ้น สถาบันยังซื้อสุทธิมาก ช่วยดันตลาดฯ แต่ปัจจัยสงครามการค้าที่จีน-สหรัฐฯและรอดูตัวเลขจ้างงานจะศุกร์นี้ เป็นสิ่งที่ตลาดฯยังกังวล หลักทรัพย์กลุ่มหลักปรับเพิ่มขึ้นดีคือ ธนาคาร สื่อสาร และขนส่ง ส่วนหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลงมากเช่น BEAUTY ,TOP และ SUPER ด้านผู้ซื้อสุทธิรายเดียวต่อ คือ สถาบัน 4.7 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.4 พันลบ. รายย่อย 1.5 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 0.8 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET วันนี้ขาดทิศทางในปัจจัยต่างประเทศ เนื่องจากตลาดสำคัญต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำม้นปิดทำการ วานนี้เป็นวันหยุดซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐ ปัจจัยบวกเป็นเรื่องสถาบันกลับมาซื้อมาก ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบในลักษณะเป็นบวก ดาวโจนส์ล่วงหน้าเช้านี้ +46 จุด ช่วงนี้ SET มีการรีบาวด์ต่อเนือง คาดว่าเพราะราคาหุ้นที่ผ่านมาปรับลงไปมาก สำหรับ P/E ตลาดที่ DBS ประเมินปีนี้และปีหน้าเป็น 14.5 และ 13.2 เท่า ตามลำดับ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยเอเชีย แต่ก็ถือว่าเป็นระดับที่เริ่มไม่แพงเทียบกับอดีต และหากเทียบกับกลุ่ม US,EU & ญี่ปุ่น ที่ 16.4 และ 14.7 เท่า ตามลำดับ ไทยดูดึงดูดใจมากกว่า และอัตราผลตอบแทนปันผลกลับมาสูง ส่วนเรื่องสงครามการค้า จับตาวันพฤหัสรายงานผลประชุมเฟด มิ.ย. และวันศุกร์ 6 ก.ค.61 มีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และจีน-สหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้า ส่วนเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การที่ SET ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้หุ้นพื้นฐานดี Blue Chip หลายตัวย่อลงมาให้ซื้อได้ เช่น AOT, ADVANC, BBL, CPALL, KBANK, PTTGC และ SCC เป็นต้น นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1580-1650 จุด
Update หุ้นเด่น: ADVANC – ระยะสั้นการลงทุนใน ADVANC จะมีความปลอดภัยมากกว่า DTAC เพราะไม่ต้องเสี่ยงเรื่องที่ว่าจะมีการเยียวยาหรือไม่ อีกทั้งยังจะมีโอกาสได้รับรายได้จากค่าเช่าเพิ่มจาก DTAC ขณะเดียวกับคลื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพียงพอต่อการให้บริการ ไม่ได้รีบเร่งต้องได้คลื่นใหม่ ข้อดีคือ ส่วนครองตลาดอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพมากขึ้น สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง จุดเด่นปีนี้คือ คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้เป็น 13% y-o-y หลังจากปรับลดลงมา 2 ปีติดต่อกัน กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 232 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มอีก 20% ด้านคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดี ปีนี้และปีหน้าเป็น 4.2%/4.7% ตามลำดับ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆต่อ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1635-1640, 1650 โดยมีแนวรับ 1580-1570
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น KBANK, MTC, AP, SYNEX, CENTEL, WORK ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, PTTGC, GLOBAL, SPALI, GULF, BDMS, BJC หุ้นที่หลุด List TCAP และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ ADVANC,KTC,DELTA,AKR
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/• พฤหัสเผยข้อมูลเฟดประชุม และศุกร์นี้ประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร
# จับตารายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าวันศุกร์นี้ตามเวลาไทย
# นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 3.8%
-/+ จับตา 6 ก.ค.61 วันเริ่มเก็บภาษีนำเข้า จีน-สหรัฐ
# นักลงทุนในตลาดการเงินต่างก็จับตารัฐบาลจีนและสหรัฐซึ่งเตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ โดยในวันดังกล่าว สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกัน
# รัฐบาลจีนได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวน 659 รายการจากสหรัฐ ในอัตรา 25% มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 545 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น โดยมีเป้าหมายที่จะตอบโต้สหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บสินค้าจากจีนจำนวน 1,100 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
# ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้า โดยขณะนี้แคนาดาได้เริ่มบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเป็นวงเงิน 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากแคนาดา ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 2.94 แสนล้านดอลลาร์ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป
- สหรัฐอาจปฏิเสธไชน่า โมบายล์เข้าทำธุรกิจที่สหรัฐฯ
# มีรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจปฏิเสธคำร้องของบริษัทไชน่า โมบายล์ ในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ขณะที่ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค.นี้ จะเป็นวันที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ทางด้านจีนก็เตรียมเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐในวงเงินเดียวกันในวันดังกล่าวเช่นกัน
- คำสั่งซื้อภาคโรงงานสหรัฐสูงกว่าคาด
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนเม.ย. ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานจะทรงตัวในเดือนพ.ค.
+ ดอลลาร์อ่อนค่า รอดูรายงานเฟดและตัวเลขจ้างงาน
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย พร้อมกับจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 12-13 มิ.ย.ในวันพฤหัสบดีนี้ รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมิ.ย.ในวันศุกร์นี้ เพื่อบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปีนี้
-คู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐร้องเรียนต่อ WTO 40 รายคัดค้านภาษีรถยนต์ของสหรัฐ
# ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ รวมทั้งสหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ได้พร้อมใจกันร้องเรียนต่อองค์กรการค้าโลก (WTO) แสดงความวิตกเป็นอย่างมากในเรื่องที่ สหรัฐเตรียมจะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับรถยนต์และชิ้นส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศ
• ตลาดน้ำมัน : วานนี้ปิดทำการ
# ตลาดปิดทำการ เนื่องจาก 4 ก.ค.61 เป็นวันชาติสหรัฐ
- ภาวะตลาดหุ้น : วานนี้ปิดทำการ
# ตลาดปิดทำการ เนื่องจาก 4 ก.ค.61 เป็นวันชาติสหรัฐ
• ทองคำ : วานนี้ปิดทำการ
# ตลาดปิดทำการ เนื่องจาก 4 ก.ค.61 เป็นวันชาติสหรัฐ
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะประกาศต่อไป
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนมิ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดุลการค้าเดือนพ.ค.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- ธปท.ระบุจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง เงินเฟ้อเข้าสู่กรอบชัดเจนขึ้น
# นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงรายงานนโยบายการเงิน ฉบับเดือนมิถุนายน 2561 โดยการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2561 ว่า คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและสูงกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางทยอยปรับสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้เดิมเล็กน้อย และเข้าสู่กรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันที่เร่งตัวขึ้นตามราคาในตลาดโลกเป็นสำคัญ ส่วนแรงกดดันด้านอุปสงค์ปรับเพิ่มขึ้นบ้างแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้านเสถียรภาพระบบการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในจุดต่างๆ ที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินในอนาคต
• ก.ล,ต. ออกเกณฑ์พร้อมรองรับไอซีโอแล้ว
# นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลด้วยกระบวนการไอซีโอ และการให้ความเห็นชอบไอซีโอพอร์ทัล ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 (พ.ร.ก.) แล้ว โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 16 กรกฎาคม 2561
-/+ รมว.พลังงานยันไทยมีไฟฟ้าเพียงพอไปช่วง 5 ปีข้างหน้า การสรรหาผู้ประกอบการก๊าซเสร็จ ธ.ค.61
# รมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ"อนาคตพลังงานไทย" ในงานสัมมนาหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ว่า พลังงานของประเทศไทยในอนาคตจะต้องมีความมั่นคง และยั่งยืน ภายใต้ราคาย่อมเยา ซึ่งปัจจุบันกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศที่มีราว 30,000-40,000 เมกะวัตต์นั้น เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ ทำให้คาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้ายังไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล ที่จะทำให้ระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพ ยกเว้นพวกที่มีสัญญาอยู่แล้ว
# แหล่งก๊าซฯเอราวัณและบงกช เป็นแหล่งก๊าซฯหลักในอ่าวไทยที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานในปี 65-66 นั้น รัฐบาลก็อยู่ระหว่างการประมูลเพื่อหาผู้ดำเนินการต่อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถคัดเลือกผู้ประกอบการใหม่ได้ภายในเดือนธ.ค.61 และลงนามสัญญาได้ในเดือนก.พ.62
# ผลกระทบ: การที่พลังงานยังมีเพียงพอไปอีก 5 ปี ทำให้หลักทรัพย์ในกลุ่มพลังงานทดแทนได้รับความน่าสนใจน้อย มาอย่างต่อเนื่อง และอาจต้องไปรุกตลาดต่างประเทศแทน ส่วนแนวโน้มที่ PTTEP จะชนะการประมูลแหล่งก๊าซ นั้นมีความเป็นไปได้มาก เพราะมีประสบการณ์สูงและยาวนาน อีกทั้งราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นสูงในอนาคต หลังสหรัฐคว่ำบาตรไม่ให้ซื้อน้ำมันจากอิหร่านเป็นตัวผลักดัน ล่าสุดทางลิเบียก็มีปัญหาในการส่งออก และแคนาดามีปัญหานในการผลิต จึงคาดว่า PTTEP จะยังคงโดดเด่นในกลุ่มพลังงาน
+ BCPG: บริษัทคาดการขายโซลาร์ ฟาร์ม ญี่ปุ่น เข้า iFF นำกำไรไปลงทุนต่อ แล้วเสร็จ 3Q61
# นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) กล่าวว่า การขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์ฟาร์ม) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และ Nagi ขนาดกำลังผลิตรวม 27.6 เมกะวัตต์ (MW)ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าราว 3,185 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/61 จากเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.หลังมีความล่าช้ากระบวนการเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับกำไรมาส่วนหนึ่งเพื่อนำมาลงทุนในโครงการใหม่ที่จะมีเข้ามา เล็งปีนี้กำไรโตไม่ต่ำกว่า 20%
-/• BTS ยังมีบางช่วงที่การให้บริการไม่ปกติ
# นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณีปัญหาความล่าช้าในการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสว่า ขณะนี้ทางบีทีเอสอยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันคลื่นรบกวน ซึ่งยังติดตั้งไม่ครบทั้ง 52 ขบวน คงต้องให้เวลากับผู้ให้บริการด้วย โดยทางผู้ให้บริการได้รับปากกับกระทรวงคมนาคมแล้วว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่าหลังจากติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วก็จะแก้ปัญหาคลื่นรบกวน หรือการกระตุกที่เกิดระหว่างการให้บริการได้
# ผลกระทบ: ยังเป็นลบกับ BTS และ BTSGIF ในเรื่องภาพพจน์ ผู้โดยสารลดลง และมีเงินลงทุนเพิ่ม จึงกดดันราคาหุ้นแต่คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น ในแง่ตลอดปี จะมีผลกระทบไม่มากนัก
+ SAWAD ซื้อหุ้น BFIT เพิ่มอีก
# ศรีสวัสดิ์"เก็บเพิ่มหุ้นBFIT กว่า 18.4 ล้านหุ้น ดันสัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 45.34% ชี้ปัจจัยพื้นฐานบีฟิท มีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันจะช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มศรีสวัสดิ์ ให้มีการเติบโตแบบยั่งยืน ให้บริการด้านการเงินที่ครบวงจร (Aspen)
# คำแนะนำ เพียง ถือ ราคาพื้นฐาน 40.00 บาท
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10856