- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 27 June 2018 09:19
- Hits: 1294
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“สหรัฐจะจำกัดการลงทุนทั่วโลก...คาดกดดัน SET”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้– SET Index พลิกความคาดหมายปรับลงถึง 12.70 จุด ปิดที่ 1622.28 จุด แกว่งลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 44.1 พันล้านบาท มีแรงขายในหุ้นกลุ่มหลัก เช่น ธนาคาร SCB และ KBANK ปรับลงแรง แต่มีบางหลักทรัพย์ฟื้นตัว เช่น DTAC และ KTC แม้มีความคาดหวังWindow Dressing และโอเปกเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันต่ำกว่าคาด แต่ปัจจัยลบคือ สงครามการค้า มีข่าวว่าทรัมป์มีแผนที่จะจำกัดการลงทุนของจีนในบริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ และมีภาวะเงินไหลออกต่อเนื่อง บาทอ่อนค่าไปอีก ด้านผู้ซื้อสุทธิคือรายย่อย 3.4 พันลบ. และสถาบัน 0.7 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 2.5 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 1.6 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET กลับมาถูกกดดัน จากเรื่องสงครามการค้า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ อีกทั้งราคาน้ำมันกลับมาปรับลดหลังจากผลประชุมโอเปก ส่วนเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ข้อดีคือระยะสั้นคือดอลลาร์อ่อนค่า หลังข้อมูลเศรษฐกิจซบเซาและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี กลับมาลดลง ส่วนปัจจัยบวกคือ อาจมีการทำ Window Dressing เพราะเข้าใกล้สัปดาห์สุดท้ายรอบครึ่งแรกปี 2561 การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบแบบลบ รอดูสถานการณ์มากกว่า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +33 จุด หลังวานนี้ดิ่งหนัก กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1620-1660 จุด
Update หุ้นเด่น: GOLD หลังกำไรหลัก 2Q61 (สิ้นสุด มี.ค.61) เติบโตสูงถึง 52% y-o-y เราคาดว่ากำไร 3Q61 จะมีโมเม็มตัมการเติบโตดี เพราะมียอดขายรอโอน (Backlog) สูงเป็น 5.3 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่รับรู้ได้ทันปีนี้ ขณะที่รายได้โอน y-o-y และ q-o-q เป็น 2.8 และ 3.1 พันล้านบาท ล่าสุดได้ปรับประมาณการปีนี้และปีหน้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 23% และ 28% ตามลำดับ ยังผลให้อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าโดดเด่นเป็น 125%/17% ตามลำดับ เทียบ y-o-y และเป็นสถิติสูงสุดใหม่ กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 11.66 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 12.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 6% นอกจากนี้มีแผนจะนำอาคารสำนักงานคือ FYI เข้า GVREIT ปี 62 จะได้กำไรและเงินไปลงทุนใหม่ในอนาคตอีก
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1660 โดยมีแนวรับ 1620-1600
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น LPN, TGCI, AOT, CPALL, VGI ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, PRINC, SCC, PTTGC, QH, GFPT หุ้นที่หลุด LIST SAT และที่ให้หาจังหวะTake profit -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน
# นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ
# ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ขู่ทุกประเทศทั่วโลกให้ยุติการตั้งกำแพงการค้าต่อสินค้าสหรัฐ มิฉะนั้นจะต้องพบกับมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ
# จากข่าวข้างต้นทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้รบผลกระทบในทางลบ มีการกลับเข้าไปซื้อทองคำและพันธบัตรที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- สงครามการค้าสหรัฐกับประเทศอื่นๆยิ่งร้อนแรง
# มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแผนที่จะจำกัดการลงทุนของจีนในบริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ และจะห้ามบริษัทสหรัฐส่งออกเทคโนโลยีให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
# Ifo เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีร่วงต่ำสุดรอบกว่า 1 ปีจากพิษสงครามการค้า
- ราคาน้ำมันดีดกลับมาปรับลง กังวลปริมาณการผลิตน้ำมันของโอเปก
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 68.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 82 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 74.73 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของปริมาณการใช้กำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) หลังจากการประชุมโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปกได้เสร็จสิ้นลงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
-/+ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เป็น Mix
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก ซึ่งระบุว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ร่วงลงแตะระดับ -0.15 ในเดือนพ.ค. จากระดับ +0.42 ในเดือนเม.ย. ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในเดือนพ.ค. โดยดัชนี CFNAI ที่มีค่าเป็นลบในเดือนพ.ค. มีสาเหตุจากการปรับตัวลงของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิต แม้ว่าตัวชี้วัดเกี่ยวกับยอดขาย, คำสั่งซื้อ และปริมาณสินค้าคงคลังปรับตัวขึ้นก็ตาม
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 6.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 689,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว โดยได้รับอานิสงส์จากยอดขายบ้านทางภาคใต้ของสหรัฐที่ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 11 ปี
- มีกระแสข่าวว่า ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป 20%
# ผลกระทบ: คาดว่าหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านลบคือ KCE เพราะมีการจำหน่ายสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร (PCB) ไปให้ค่ายรถยนต์ยุโรปเป็นสัดส่วนที่มากสุด ประเทศที่ส่งออกไปมากคือ เยอรมันและฝรั่งเศส ทั้งนี้จากสถิติพบว่ารถยนต์จากยุโรปส่งออกไปสหรัฐฯในสัดส่วน 25% จากทั้งหมด คำแนะนำปัจจุบัน KCE คือ ซื้อ เพราะได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่าและราคาวัตถุดิบทองแดงต่ำลง เมื่อทราบผลกระทบที่ชัดเจนขึ้น ก็จะสะท้อนไปยังประมาณการและราคาพื้นฐานในอนาคต
+ ดอลลาร์อ่อนลง กังวลสงครามการค้า
# สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐ และประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกมาตรการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ลดลง กังวลสงครามการค้า
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า การทำสงครามการค้าอาจลุกลามเป็นวงกว้าง หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศแผนการออกมาตรการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น ขณะที่หุ้นฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากบริษัทเปิดเผยแผนย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษี
• ทองคำปรับลง แม้ดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.8 ดอลลาร์ หรือ 0.14% ปิดที่ 1,268.9 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร แม้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงก็ตาม ซึ่งส่งผลให้สัญญาทองคำปิดตลาดร่วงลงหลุดจากระดับ 1,2700 ดอลลาร์/ออนซ์
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ประกาศภายในสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย.โดย S&P/Case-Shiller, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จาก Conference Board, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
-/• KBANK เปิดตัว “Pay with K PLUS” จ่ายเงินออนไลน์ 300 บาท คืน 100 บาท แต่เฉพาะครั้งแรก
# แต่จากการสอบถาม KBANK พบว่าไม่ได้ทำให้มีค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้นมาก คือให้เฉพาะครั้งแรกเท่านั้นเพื่อจูงใจให้มาลองใช้บริการ และครองตำแหน่ง App ธนาคารอันดับ 1 สำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปก็ยังอยู่ในงบประมาณต่อปี สำหรับร้านค้าก็จะรับได้สูงสุดที่ 5,000 บาท อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า SCB ได้มี Promotion รูดบัตรเครดิต 500 บาท ได้รับคืนถึง 100 บาท ต่อเนื่องและยาวนานจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปกว่า KBANK
# ปัจจุบัน ธนาคารมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อและใช้แอพ K PLUS รวมกว่า 8.4 ล้านราย มีจำนวนธุรกรรมการโอนเงินเพิ่มขึ้นสูงถึง 88% ภายหลังประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียม รวมถึงจำนวนร้านค้าที่ใช้แอพ K PLUS SHOP อีก 1.4 ล้านร้านค้าซึ่งมีมูลค่าธุรกรรมการรับชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ด (QR Code) รวมกว่า 4,000 ล้านบาท
# คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ KBANK และ ถือ สำหรับ SCB
+/- สินเชื่อ พ.ค.61 ปรับเพิ่ม 0.59% m-o-m
# ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยภาพรวมสินเชื่อสุทธิเดือน พ.ค.61 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 6.59 หมื่นล้านบาท เป็น 11.20 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.59% MoM ใกล้เคียงกับสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเดือน เม.ย.61 ทำให้คาดว่าสินเชื่อในช่วงครึ่งแรกของปี อาจขยายตัวสูงกว่าระดับ 5.0% และสนับสนุนให้การเติบโตของสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2561 มีโอกาสขยับขึ้นสูงกว่าประมาณการเดิมที่ 4.8%
# ผลกระทบ: ระยะนี้เมื่อภาวะตลาดไม่สดใส นักลงทุนกลับมากังวลงบการเงินไตรมาส 2/61 จะเริ่มเห็นผลกระทบจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง จากการฟรีค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการใช้ App ของธนาคารต่างๆ และภาระการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น จึงมีส่วนบดบังการเติบโตสินเชื่อที่อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ
+/- กสทช.ปลดหลักเกณฑ์ DTAC พร้อมประมูล 900 ยื่นเงื่อนไขขอใช้คลื่น 850 ต่อ 2 ปี
# กสทช.ปรับหลักเกณฑ์ประมูลคลื่น 1800 MHz เป็น 9 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 5 MHz ราคาเริ่มต้น 12,486 ล้านบาท เคาะราคา 19 ส.ค. 61 ส่วนคลื่น 900 MHz ยึดตามเดิม 1 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 5 MHz ราคาเริ่มต้น 37,988 ล้านบาท เคาะราคา 18 ส.ค. 61 ด้าน DTAC ลั่นพร้อมเข้าประมูลคลื่น 900 MHz ยื่นเงื่อนไขขอใช้คลื่น 850 MHz ต่อ 2 ปี (ข่าวหุ้น)
# ผลกระทบ: ข้อดีคือ กสทช.มีความยืดหยุ่นในการซอยใบอนุญาตคลื่น 1800 MHz ให้เล็กลง ทำให้ DTAC ที่ไม่ต้องการทั้งหมด สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่ DTAC มีแนวโน้มจะสนใจคลื่น 900 MHZ มากกว่า อย่างไรก็ตามราคาประมูลคลื่น 1800 MHz เริ่มต้นก็เท่าเดิม เพราะหากคำนวณกลับเป็น 15 MHz ก็จะมีราคาเท่าเดิมอยู่ดีคือ 37.5 พันล้านบาท นั่นคือ ต้นทุนในการที่ DTAC จะได้คลื่นมานั้นสูงอยู่ดี ยังไม่มีทีท่าว่า กสทช.จะมีการปรับลดราคาลงมาแต่อย่างใด
+ LH ลงทุนเพิ่มใน LHPF เพิ่มอีก 11.96% รวมเป็น 26.96%
# LH เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าบริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LHPF) จำนวน 39,458,300 หุ้น ในราคาหุ้นละ 7.80 บาท คิดเป็นร้อยละ11.96 ของทุนชาระแล้วของLHPF เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 307.78 ล้านบาท จากบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัทฯ จานวนหุ้นที่บริษัทฯถือภายหลังการได้มาดังกล่าว เท่ากับ 88,958,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละ26.96 ของทุนชาระแล้วของ LHPF
# คงคำแนะนำ ซื้อ คาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากกำไรตามส่วนได้เสียและเงินปันผลรับ ให้ราคาพื้นฐาน 12.80 บาท จุดเด่นคือ เป็นหุ้นปันผลสูง อัตราผลตอบแทนมากกว่า 6% และมีสินทรัพย์ต่างประเทศที่ลงทุนไว้สามารถนำมาขายทำกำไรได้ เพื่อลงทุนต่อไป
+ NVD ขายหุ้นบริษัทร่วม “แลนดี้ ดีเวลลอปเม้นท์” ให้กับบริษัทในกลุ่ม MACO
# NVD ขายหุ้นทั้งหมด ใน"แลนดี้ ดีเวลลอปเม้นท์" 14.89% ให้บ.ย่อย MACO คือ บริษัท มาสเตอร์ แอนด์ มอร์จำกัด (M&M) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่า 25 ลบ.
# ทั้งนี้ MACO จะใช้เเหล่งเงินทุนจากเงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงานของบริษัท สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บริษัทจะได้รับสิทธิในการขยายพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต รวมทั้งได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
# เราไม่ได้ทำการวิเคราะห์ทั้งสองหลักทรัพย์ (not rated) แต่ถือว่าเป็นข่าวบวก
-/• BTSGIF และ BTS ได้รับผลจิตวิทยาทางลบจากความขัดข้องการให้บริการระยะนี้
# ตั้งแต่วานนี้ที่เริ่มมีปัญหาความขัดข้องการให้บริการ คือ รถไฟมีความล่าช้า และขัดข้อง จนเช้านี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ในบางจุด ปัญหาคาดว่าจะมาจากระบบสัญญาณ (Signalling) อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเป็นปัญหาในระยะสั้นทางบริษัทกำลังแก้ปัญหาอยู่
# ส่วน DTAC แจงคลื่นความถี่ 2300 MHz ไม่ได้รบกวนสาเหตุบีทีเอสขัดข้อง
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10471