- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 25 June 2018 18:34
- Hits: 5671
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“โอเปกเพิ่มผลิตต่ำคาด-ทรัมป์ขึ้นภาษีรถยุโรป”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์– SET Index รีบาวด์ 0.54 จุด ปิดที่ 1634.98 จุด แกว่งแคบสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายที่ 50.2 พันล้านบาท มีแรงซื้อกลับในกลุ่มพลังงาน และขนส่งขนาดใหญ๋คือ AOT แต่มีบางหลักทรัพย์ปรับตัวลงแรง เช่น SUPER DTAC และ KTC มีความคาดหวัง Window Dressing ตลาดอยู่ในช่วงรอผลประชุม โอเปก แต่ปัจจัยลบเดิมคือ สงครามการค้า และเงินไหลออก ด้านผู้ซื้อสุทธิคือรายย่อย 1.2 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 0.2 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 0.9 พันลบ. และสถาบัน 0.5 พันลบ.
แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีแนวโน้มสดใสขึ้น จากผลประชุมโอเปกที่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันน้อยกว่าคาด น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ เพราะราคาน้ำมันปรับขึ้นแรง 4-5% แต่เรื่องสงครามการค้ายังเป็นปัจจัยสกัด ล่าสุดทรัมป์จะจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป 20% ส่วนผลการประชุมเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ข้อดีระยะสั้นคือ ดอลลาร์อ่อนค่า หลังข้อมูลเศรษฐกิจซบเซาและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี กลับมาลดลง ส่วนปัจจัยบวกคือ อาจมีการทำ Window Dressing เพราะเข้าใกล้สัปดาห์สุดท้ายรอบครึ่งแรกปี 2561 การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป กลุ่มธนาคารเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจไทยยังดี กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับเพิ่ม GDP ทั้งปีนี้และปี 62 แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบแบบลบ รอดูสถานการณ์มากกว่า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า -115 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมและทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1630-1665 จุด
Update หุ้นเด่น: PTTEP คาดว่าจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดีดกลับ จากก่อนหน้าที่กังวลว่าโอเปกจะปรับขึ้นกำลังการผลิตมาก แต่แล้วกลับต่ำกว่าที่คาด โดยระหว่างนี้บริษัทอยู่ในช่วงประมูลแหล่งก๊าซบงกชและเอราวัณ หาก PTTEP ได้บงกช และตามสัดส่วนที่ถือเดิม ราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15.00 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 138.00 บาท จากปัจจุบัน 123.00 บาท และหากได้ 2 โครงการ มูลค่าขายจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 33 บาท ราคาพื้นฐานจะขยับขึ้นเป็น 156.00 บาท แตในความเป็นจริง โอกาสที่จะได้ถึง 2 โครงการเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย และในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนระหว่างกันได้อีก จึงต้องรอผล จึงคาดว่าจะมีการเก็งกำไร PTTEP จากเรื่องนี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1665 โดยมีแนวรับ 1630-1620
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น QH,GFPT,SAT ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT,PRINC,SCC,PTTGC หุ้นที่หลุด LIST BH, BDMS และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น CPALL ,AOT, KCE
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ โอเปกปรับเพิ่มกำลังการผลิตต่ำคาด
# ผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งมีมติเพิ่มกำลังการผลิต แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน โดยนักวิเคราะห์มองว่าปริมาณน้ำมันที่ทางกลุ่มจะผลิตเพิ่มนั้น น่าจะน้อยกว่าที่ตลาดกังวลกันก่อนหน้านี้ จากข่าว Bloomberge ระบุประมาณ 7 แสนบาร์เรลล์ต่อวัน หากเทียบกับที่เคยปรับลด 1.8 ล้านบาร์เรลล์ต่อวัน ก็ถือว่าเพิ่มกลับมาไม่มาก
# คาดว่าจะส่งผลบวกต่อหลักทรัพย์กลุ่ม พลังงาน และปิโตรเคมี แนะนำ ซื้อ PTT, PTTGC และ IVL ส่วน PTTEP ซึ่งตอบสนองการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันมากที่สุด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร
+ ราคาน้ำมันดีดกลับแรง จากโอเปกเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่ำกว่าคาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้น 3.04 ดอลลาร์ หรือ 4.6% ปิดที่ 68.58 ดอลลาร์/บาร์เรล และพุ่งขึ้น 5.8% ตลอดทั้งสัปดาห์
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ดีดขึ้น 2.50 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 75.55 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 2.9% ทั้งสัปดาห์
- มีกระแสข่าวว่า ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรป 20%
# ผลกระทบ: คาดว่าหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบด้านลบคือ KCE เพราะมีการจำหน่ายสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร (PCB) ไปให้ค่ายรถยนต์ยุโรปเป็นสัดส่วนที่มากสุด ประเทศที่ส่งออกไปมากคือ เยอรมันและฝรั่งเศส ทั้งนี้จากสถิติพบว่ารถยนต์จากยุโรปส่งออกไปสหรัฐฯในสัดส่วน 25% จากทั้งหมด คำแนะนำปัจจุบัน KCE คือ ซื้อ เพราะได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่าและราคาวัตถุดิบทองแดงต่ำลง เมื่อทราบผลกระทบที่ชัดเจนขึ้น ก็จะสะท้อนไปยังประมาณการและราคาพื้นฐานในอนาคต
+ ดอลลาร์อ่อนลง หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจซบเซา
# ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้น ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (22 มิ.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูล PMI ที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคธุรกิจของยูโรโซนนั้นเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นจากที่ชะลอตัวมาหลายเดือน สวนทางกับข้อมูลดังกล่าวของสหรัฐที่ปรับตัวลดลง
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น หุ้นพลังงานหนุน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,580.89 จุด เพิ่มขึ้น 119.19 จุด หรือ 0.49% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,754.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.12 จุด หรือ 0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,692.82 จุด ลดลง 20.14 จุด หรือ -0.26%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (22 มิ.ย.) หลังจากร่วงลงติดต่อกันมา 8 วัน เช่นเดียวกับดัชนี S&P ที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้นตามราคาน้ำมัน ภายหลังจากที่โอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดแดนลบ เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลง
• ทองคำปรับขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่าหนุน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ขยับขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1270.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวลดลง 0.6%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (22 มิ.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์
-อินเดีย และอียู ตอบโต้สหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม
# ล่าสุดกระทรวงการคลังของอินเดียประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถั่วอัลมอนด์จากสหรัฐในอัตรา 20% และเก็บภาษีนำเข้าวอลนัทจากสหรัฐในอัตราสูงถึง 120% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ส.ค. นอกจากนี้ อินเดียยังประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์เหล็กของสหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากอินเดียก่อนหน้านี้
# ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตร, เหล็ก และอลูมิเนียมจากสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าราว 2.8 พันล้านยูโร หรือ 3.24 พันล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ เพื่อตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% ที่นำเข้าจาก EU ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา
# กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้
-MSCI จะนำประเทศอื่นมาบรรจุคำนวณเพิ่มคือ Saudi Arabia และ Argentina รวมในดัชนี Emerging Markets
# MSCI เตรียมนำ Saudi Arabia และ Argentina รวมในดัชนี Emerging Markets คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า และกำลังพิจาณา Kuwait
# แนวโน้มน้ำหนักตลาดไทยในอีกหลายปีข้างหน้ายังน่ากังวล เพราะ MSCI มีการเพิ่มน้ำหนักจีนเข้ามาก่อนหน้าด้วย
-/• ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืน
# ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนอีก 0.25% สู่ระดับ 3.5% ในการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันเดือนที่ 2 โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการไหลออกของเงินทุน และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
# ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของไทยว่า ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ทางการกำหนดไว้ ทำให้ยังไม่มีแรงกดดันให้ต้องเร่งรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเติบโตแบบกระจุกตัว ดังนั้น คงต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบกระจายตัวเสียก่อน
# ผลกระทบ: ยังต้องติดตาม เพราะหากประเทศอื่นๆทำการขึ้นดอกเบี้ย แต่ไทยไม่ปรับขึ้น ค่าเงินบาทจะยิ่งอ่อนมาก
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
-พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะใช้ปี 62
# พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เปิดเผยภายหลังการประชุม กมธ.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.นี้ว่า ที่ประชุมคณะกมธ.มีความเห็นว่าพรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะใช้ปี 62 (โพสต์ ทูเดย์)
# ผลกระทบ: เป็นไปในทางลบกับกลุ่มที่อยู่อาศัยอยู่บ้าง ในเรื่องกระทบอุปสงค์ แต่จะเป็นไปอย่างจำกัด เพราะมีการจัดเก็บเป็นช่วงราคา และผู้ประกอบการมีโอกาสจะปรับตัวได้
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
# หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
-/+ DTAC เข้าปรึกษากับ กสทช.เรื่องการประมูลคลื่น 900 MHz และการเยียวยา
# ดีแทค กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการประมูลคลื่นความถี่ที่หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมจะจัดให้มีขึ้นและการขอเยียวยาว่า ดีแทคยังรอความชัดเจนในเรื่องการขอเยียวยา และกำลังปรึกษาหารือกับ กสทช.ในเรื่องการเปิดประมูลคลื่นความถี่ต่ำ 900MHz และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการวางแผนจัดการประมูลอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงสภาพเงื่อนไขการใช้งานคลื่นความถี่ 850 MHz ของดีแทคและสถานการณ์ทางการตลาดในปัจจุบันของดีแทคด้วย
#ทั้งนี้ ดีแทคมีสิทธิในการให้บริการแก่ลูกค้าหลังจากสิ้นสุดสัมปทานคลื่น 1800 MHz และ 850 MHz ตามมาตรการเยียวยา จนกว่ากระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ คือ มีผู้ได้รับอนุญาตรายใหม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของ กสทช. โดยข้อกำหนดดังกล่าวได้เคยถูกนำมาบังคับใช้ตามที่เคยมีกรณีสิ้นสุดสัมปทานคลื่นความถี่กับผู้ให้บริการอื่นๆ เช่น ทรู และ เอไอเอส ในปี 56 และ 58 ที่ผ่านมา
# ผลกระทบ: ราคาหุ้น DTAC ปรับลงมาก เพราะระยะหลังมีแต่ข่าวลบมาจาก กสทช.คือ 1) ยังคงเดินหน้าเปิดประมูลคลื่น 1800 MHz ที่ราคาเดิม 4 ส.ค.61 และคลื่น 900 MHz 10 ส.ค.61 เสมือนกับการไม่เยียวยาทั้งสองคลื่น 2) กสทช.เร่งรัดให้ DTAC เร่งย้ายผู้ใช้บริการ 4.3 แสนราย ให้ทันภายใน 15 ก.ย.61 ก่อนจะหมดสัมปทาน 30 ก.ย.61 3) DTAC ยังขาดคลื่นต่ำที่จะไปใช้ 2G และ 3G โดยเฉพาะบริการด้านเสียง จึงอาจต้องเสียเงินประมูลคลื่นใดคลื่นหนึ่งที่ต้นทุนสูง และ 4) DTAC เคยแจ้งว่ามีความสนใจที่จะเช่าคลื่น AIS เพื่อมาบริการลูกค้า 2G แต่จะขึ้นสัญลักษณ์ AIS แทน DTAC
# คำแนะนำ เรายังเห็นว่า ADVANC เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า DTAC ซึ่งจะมี Overhang ต่อไป ทั้งการสูญเสียลูกค้าที่ย้ายค่าย การต้องจูงใจให้โทรศัพท์และซิมฟรี เพื่อให้ลูกค้า 2G ย้ายค่ายไป 3G และค่าเช่าโครงข่าย ADVANC แม้ราคาหุ้นมีโอกาสจะรีบาวด์ เพราะลงมามาก และระยะยาวเมื่อใกล้เวลาเส้นตาย ทางภาครัฐอาจจะยื่นมือเข้ามาเยียวยาผู้ใช้บริการไม่ให้เดือดร้อนได้ก็ตาม
-บุกค้นโรงปูนทีพีไอหาหลักฐาน หลังจับอดีตขรก.ที่ดิน ปลอมโฉนดขาย!
# เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่บริเวณตู้ยามตำรวจทางหลวงทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พล.ต.ต.กมล เหรียญราชาผบก.ปปป. ปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และที่ดิน เข้าตรวจค้นที่ทำงานในโรงปูนทีพีไอ บ้านพักและเหมืองหิน รวม 3 จุด ซึ่งเชื่อว่ามีการกระทำความผิดและเป็นที่เก็บเอกสารปลอมโฉนดที่ดินที่ขายให้โรงงานปูนทีพีไอ จำนวน 45 ไร่ (ข่าวสด)
# ผลกระทบ: ต้องติดตามว่าจะกระทบต่อ TPIPL มากน้อยเพียงใด แต่ในเบื้องต้นเป็นลบ
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10445