WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
“รอผลประชุมโอเป็ก-อินเดียอียูตอบโต้สหรัฐ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ดิ่งลงถึง 29.82 จุด ปิดที่ 1634.44 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายที่ 61.6 พันล้านบาท ปัจจัยลบจาก เงินไหลออก ค่าเงินบาทอ่อนต่ำสุดไปทดสอบถึง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ มีข่าวธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับขึ้นดอกเบี้ย และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เข้มข้นขึ้นราคาน้ำมันผันผวนสูง หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุมวันนี้กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ล่าสุด MSCI จะนำประเทศอื่นมาบรรจุคำนวณเพิ่มคือ Saudi Arabia และ Argentina รวมในดัชนี Emerging Markets คาดจะเริ่มในปีหน้า เบียดหุ้นไทย มีแรงขายกระจายไปในกลุ่มหลัก แม้มีข่าวดีเกี่ยวกับตัวเลข ส่งออก พ.ค.61 ดีเกินคาด ด้านผู้ซื้อสุทธิคือรายย่อย 4.9 พันลบ. และสถาบัน 1.2 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 3.9 พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์ 2.2 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– SET ยังมีแนวโน้มไม่สดใส จากเรื่องสงครามการค้า ล่าสุดอินเดียและอียูตอบโต้สหรัฐในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท ด้านฟิลิปปินส์ปรับขึ้นดอกเบี้ยป้องกันเงินไหลออก แม้ธปท.ยังไม่เห็นว่าไทยควรปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หากหลายประเทศในภูมิภาคทำกัน ค่าเงินบาทจะยิ่งอ่อนไปอีก ส่วนราคาน้ำมันยังผันผวนหนักในทางลง หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุมวันนี้ จึงมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ส่วนผลการประชุมเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ข้อดีระยะสั้นคือ ดอลลาร์อ่อนค่า หลังข้อมูลเศรษฐกิจซบเซาและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี กลับมาลดลง ส่วนปัจจัยบวกคือ อาจมีการทำ Window Dressing เพราะเข้าใกล้สัปดาห์สุดท้ายรอบครึ่งแรกปี 2561 การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป กลุ่มธนาคารเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเปน็ ขาขึ้น เศรษฐกิจไทยยังดี กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และปรับเพิ่ม GDP ทั้งปีนี้และปี 62 แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบ สำหรับการประชุมต่างๆ วันนี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ผลประชุมโอเปก ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบสลับบวก-ลบ รอดูสถานการณ์มากกว่า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า +43 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทออ่ น การประกาศ SET 50 SET 100 แล้วก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก เริ่ม 1 ก.ค.61 นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1630-1665 จุด
  Update หุ้นเด่น: KCE ได้รับประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า และราคาวัตถุดิบทองแดงปรับลง อุปสงค์สินค้าในงวด 2Q61 ยังคงแข็งแกร่ง คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 42.50 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็นลบ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1640-1650, 1665 โดยมีแนวรับ 1630-1620
  สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCC, BDMS, KCE, PTTGC ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ PTT, CPALL, PRINC, AOT, BH หุ้นที่หลุด LIST SYNEX, TGCI, TISCO, TOP, VCOM, BEAUTY และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น -ไม่มี-
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-อินเดีย และอียู ตอบโต้สหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม
  # ล่าสุดกระทรวงการคลังของอินเดียประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถั่วอัลมอนด์จากสหรัฐในอัตรา 20% และเก็บภาษีนำเข้าวอลนัทจากสหรัฐในอัตราสูงถึง 120% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ส.ค. นอกจากนี้ อินเดียยังประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าเกษตร และผลิตภัณฑ์เหล็กของสหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจากอินเดียก่อนหน้านี้
  # ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตร, เหล็ก และอลูมิเนียมจากสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าราว 2.8 พันล้านยูโร หรือ 3.24 พันล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ เพื่อตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีเหล็ก 25% และอลูมิเนียม 10% ที่นำเข้าจาก EU ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา
  # กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้
-MSCI จะนำประเทศอื่นมาบรรจุคำนวณเพิ่มคือ Saudi Arabia และ Argentina รวมในดัชนี Emerging Markets
  # MSCI เตรียมนำ Saudi Arabia และ Argentina รวมในดัชนี Emerging Markets คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า และกำลังพิจาณา Kuwait
  # แนวโน้มน้ำหนักตลาดไทยในอีกหลายปีข้างหน้ายังน่ากังวล เพราะ MSCI มีการเพิ่มน้ำหนักจีนเข้ามาก่อนหน้าด้วย
-/• ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืน
  # ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนอีก 0.25% สู่ระดับ 3.5% ในการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันเดือนที่ 2 โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการไหลออกของเงินทุน และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
  # ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของไทยว่า ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ทางการกำหนดไว้ ทำให้ยังไม่มีแรงกดดันให้ต้องเร่งรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังเติบโตแบบกระจุกตัว ดังนั้น คงต้องรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบกระจายตัวเสียก่อน
  # ผลกระทบ: ยังต้องติดตาม เพราะหากประเทศอื่นๆทำการขึ้นดอกเบี้ย แต่ไทยไม่ปรับขึ้น ค่าเงินบาทจะยิ่งอ่อนมาก
+ ดอลลาร์อ่อนลง หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจซบเซา
  # ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งรวมถึงรายงานจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียที่ระบุว่าดัชนีภาวะธุรกิจมิด-แอตแลนติกร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่ากรรมการของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) บางคนได้สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
-ติดตามผลการประชุมโอเปกวันนี้
  # นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปกซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันนี้ (22 มิ.ย.) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่ม นำโดยรัสเซีย มีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน
  # ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียอาจเสนอให้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งนี้หลังจากนายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รมว.พลังงานของรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียและซาอุดิอาระเบียให้การสนับสนุนในหลักการว่า ควรปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ได้มีการจำกัดกำลังการผลิตเป็นเวลา 18 เดือน
- ราคาน้ำมัน WTI ปรับลง กังวลผลประชุมโอเปก
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 65.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 1.69 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 73.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) โดยได้รับปัจจัยลบจากรายงานข่าวที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ใกล้บรรลุข้อตกลงในการเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนาในวันนี้
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลงต่อเป็นวันที่ 8 กังวลสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,461.70 จุด ลดลง 196.10 จุด หรือ -0.80% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,749.76 จุด ลดลง 17.56 จุด หรือ -0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,712.95 จุด ลดลง 68.56 จุด หรือ -0.88%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 8 เมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ โดยรายงานล่าสุดระบุว่า อินเดียได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เพื่อตอบโต้สหรัฐที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากอินเดียก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นอเมซอน หลังจากศาลฎีกาสหรัฐมีคำพิพากษาให้บริษัทค้าปลีกออนไลน์เรียกเก็บภาษีขายจากลูกค้า
• ทองคำลดลง กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 4 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1270.50 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
-/+ ตัวเลข Conference Board มีลักษณะ Mix แต่การยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังร้อนแรง
  # ทางด้าน Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. โดยปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย.ทั้งนี้ ดัชนี LEI ถือเป็นสิ่งบ่งชี้ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจ 10 รายการ ซึ่งรวมถึง คำสั่งซื้อใหม่ของภาคการผลิต, ราคาหุ้น และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
  # กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 220,000 ราย โดยตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกร่วงลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ และยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 172 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2512
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะประกาศวันนี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ พาณิชย์ เผย พ.ค.61 ส่งออกโต 11.4% นำเข้าโต 11.72% เกินดุล 1.2 พันล้านดอลล์
  # สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ค. 61 โดยการส่งออกมีมูลค่า 22,256 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว11.40% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 21,053 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.72% ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,203 ล้านดอลลาร์
  # ทั้งนี้ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.61) การส่งออกมีมูลค่า 104,031 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.55% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 102,154 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.60% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,877 ล้านดอลลาร์ โดยกระทรวงพาณิชย์มั่นใจการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% อย่างแน่นอน หลังจากช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเกิน 10%
  # ผลกระทบ: ตัวเลขส่งออก และเศรษฐกิจไทยออกมาดีเกินคาดตลอด แต่ตลาดฯไม่ตอบรับ เพราะไปกังวลปัจจัยต่างประเทศมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก และการประชุมโอเป็ก
+ LH: "อนันต์ อัศวโภคิน"ยื่นความประสงค์ทำเทนเดอร์ฯหุ้นบางส่วนราว 10% ที่ราคาหุ้นละ 11.80 บาท
  # คาดว่าการที่ราคาเทนเดอร์ฯ สูงกว่าราคาก่อนประกาศข่าวนี้ ได้ผลักดันให้หุ้นปรับขึ้นได้ วานนี้ปิดที่ 11.50 บาท แต่เนื่องจากรับทำแค่ 10% หากทุกคนไปทำเทนเดอร์ฯ ผลตอบแทนที่ได้จะน้อยลง นั่นคือหากพิจารณาจากจำนวนหุ้นที่รับซื้อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมด ไม่นับส่วนที่คุณอนันต์ถือหุ้นอยู่ โอกาสที่จะทำเทนเดอร์ฯสำเร็จเป็น 13% (1,195 ล้านหุ้น/(11,950-2,860 ล้านหุ้น)) ดังนั้นราคาหุ้นอาจจะอ่อนลงมาได้ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามหากมีคนมาเสนอขายหุ้นน้อยกว่าที่กำหนด จะรับซื้อทั้งหมด แต่หากมีมาขายมาก ก็ต้องจัดสรรตามสัดส่วนที่รับซื้อ (Pro-Rate)
  # อย่างไรก็ตาม ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่ม และยอมซื้อในราคาสูงกว่าราคาตลาดทั้งนี้จากสัดส่วนการถือหุ้นที่ 23.93% จะเพิ่มเป็น 33.93% แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นก่อนในการทำ Tender Offer เพียงบางส่วน โดย คุณ อนันต์ ไม้ต้องการถือหุ้นเกิน 49%
  # คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานสำหรับ LH คือ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 12.80 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOP จุดเด่นคือ เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย มีแบรนด์เป็นที่รู้จัก ผลการดำเนินงานมีความมั่นคง และปันผลได้สูง คาดว่าอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้และปีหน้าสูงเป็น 6.0%
+/- ตลาดฯประกาศ SET50,SET 100 คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้น Inclusion หรือขายออกสำหรับหุ้น Exclution
  # ประกาศวันที่ 18 มิ.ย.61 มีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.61-31 ธ.ค.61
  # สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 6 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, DELTA, GLOW, KTC, RATCH, TOA
  # สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 6 หลักทรัพย์ คือ BCP, KCE, PSH, SAWAD, TPIPP, WHA
  # สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 11 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, BLA, DELTA, ERW, GLOW, PRM, RATCH, RS, THANI, TOA, TTW
  # สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 11 หลักทรัพย์ คือ ANAN, BA, BEC, BIG, JMART, JWD, MC, MONO, THCOM, TTA, UNIQ
  # การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 & SET100 พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap) และปริมาณ & สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณใน SET50 หรือ SET100 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO10385

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!