WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

สงครามการค้า น้ำมัน กดดันSET”

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ :ANAN (จากFully Valuedเป็นซื้อ)
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ –SET Indexปรับลดอีก5.04จุด ปิดที่1704.82จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายดีขึ้นที่68.8พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีฯไปทำจุดต่ำสุดที่1695.39จุดทีเดียว ได้รับปัจจัยลบจากดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อน เงินไหลออก หลังECBทยอยลดQEจนหมดสิ้นปีนี้ และสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากจีน มีแรงขายกระจายไปในกลุ่มหลัก แต่มีแรงซื้อบางหลักทรัพย์คือGLOW, ADVANC, MTCที่มีข่าวเฉพาะตัว ด้านผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศสูงถึง7.5พันลบ. และบัญชีหลักทรัพย์0.6พันลบ.ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน5.9พันลบ. และรายย่อย2.2พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– คาดว่าSETได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่มีความชัดเจนแล้ว และราคาน้ำมันที่ปรับลงแรงหลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุม22มิ.ย.61นี้ กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ซ้ำเติมกับผลการประชุมเฟดเป็นไปตามคาดคือปรับขึ้น0.25%และปีนี้ปรับขึ้นทั้งหมด4ครั้ง แต่ถ้อยแถลงออกมาในเชิงเศรษฐกิจร้อนแรง คือ เฟดปรับขึ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก ส่วนBOJเป็นกลางคือคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาด ส่วนปัจจัยบวกยังเป็นการเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป มีการเก็งกำไรกลุ่มธนาคารต่อเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบยังกดดันอยู่ ไม่ให้ไปได้ไกลในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจากSETและสงครามการค้า ส่วนปัจจัยในประเทศเป็นบวกเรื่องเศรษฐกิจไทยยังดี สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ประชุมโอเปก22มิ.ย.61ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้เป็นลบถ้วนหน้า ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า -88จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy)ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การประกาศSET 50 SET 100ก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก บอลโลก- กลุ่มพาณิชย์ และ โฆษณา ได้ประโยชน์ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่าSETจะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น1690-1730จุด
  Updateหุ้นเด่น :MTC –ราคาเริ่มกลับมากระเตื้องดีขึ้น จากก่อนหน้ากังวลnon-bank actทำให้บริษัททำกำไรได้ลดลง แต่ทางบริษัทได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับเกณฑ์ใหม่ไว้แล้วเช่น อัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงตามเกณฑ์ใหม่ และสัดส่วนLTVที่ต่ำลง จึงมีความมั่นใจว่าสัญญาการปล่อยกู้จะไม่ขัดต่อเกณฑ์ใหม่ เริ่มมาตั้งแต่ พ.ค.61และเชื่อว่าจากสัญญาที่มีอยู่จะปรับเป็นแบบนี้ได้ครบเมื่อ1H62ส่วนเป้าการเติบโตสินเชื่อยังสูงดี จากกลยุทธ์เปิดสาขาเพิ่มปีละ600แห่ง ล่าสุดปลาย พ.ค.61เป็น2,888สาขา คาดการณ์อัตราเติบโตCAGR 3ปี (60-63)สูงเป็น34%ราคาพื้นฐานเป็น52.00บาท ด้วยPEG 1.0เท่า ด้วยส่วนเพิ่มที่ยังมากเทียบกับราคาปิดที่35.75บาท จึงคงคำแนะนำ ซื้อ
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นCandlestick & Indicatorsเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่1715-1720, 1725โดยมีแนวรับ1690-1680แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า1700จุด
  สำหรับการScanหุ้นที่มีโอกาสทำNew highที่เข้ามาใหม่เป็นBBL, MTC, LPN, GLOW, M, HMPRO, TGCIที่ยังคงอยู่ในListได้แก่CBG, SAT, PRINC, SYNEX, GCAP, COM7, Dหุ้นที่หลุดLISTคือAHและที่ให้หาจังหวะTake profitเป็นKCE, TISCO, GPSC, WORK

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-สหรัฐฯ-จีน ประกาศสงครามการค้าชัดเจนแล้ว
  #สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR)แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน1,100รายการของจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน818รายการ มูลค่า3.4หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่6ก.ค. ขณะที่สินค้าล็อตที่2กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
  #รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน659รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา25%คิดเป็นมูลค่ารวม5หมื่นล้านดอลลาร์ รัฐสภาจีน และคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการศุลกากรแห่งรัฐสภาจีน แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน545รายการ คิดเป็นมูลค่า3.4หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่6ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น
-ราคาน้ำมันปรับลงแรง กังวลประชุมโอเป็กเพิ่มกำลังการผลิต
  #สัญญาน้ำมันดิบWTIส่งมอบเดือนก.ค. ร่วงลง1.83ดอลลาร์ หรือ2.7%ปิดที่65.06ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่2พ.ค.ปีนี้ และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาน้ำมันดิบWTIปรับตัวลงราว4%
  #สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ดิ่งลง2.50ดอลลาร์ หรือ3.3%ปิดที่73.44ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่6มิ.ย.ปีนี้ และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงราว1%
  #สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI)ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า2%เมื่อวันศุกร์ (15มิ.ย.) ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ดิ่งลงกว่า3%โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก อาจตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต ในการประชุมสัปดาห์นี้
• BOJคงคอกเบี้ยนโยบายตามคาด
  #คณะกรรมการนโยบายการเงินของBOJมีมติคงคงนโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุก ในการประชุมวันศุกร์ ซึ่งรวมถึงการคงวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ10ปี ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อระยะยาว เคลื่อนไหวที่ระดับ0%และได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1%โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินที่สำรองเงินฝากไว้กับBOJ
-ECBทยอยปรับลดQEและสิ้นสุดสิ้นปี61นี้
  # ECBระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า พร้อมประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการQEที่ระดับ3หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนก.ย. อย่างไรก็ตามECBระบุว่าจะเริ่มปรับลดวงเงินQEสู่ระดับ1.5หมื่นล้านยูโรในเดือนต.ค.-ธ.ค. และจะยุติมาตรการQEภายในสิ้นเดือนธ.ค.
-ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง กัวลสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
  #ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่25,090.48จุด ลดลง84.83จุด หรือ -0.34%ขณะที่ดัชนีS&P 500ปิดที่2,779.66จุด ลดลง2.83จุด หรือ -0.10%และดัชนีNasdaqปิดที่7,746.38จุด ลดลง14.66จุด หรือ -0.19%
  #ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (15มิ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี25%ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
+/-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับลง ดอลลาร์แข็งค่า
  #อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ10ปี ปรับลดลง ล่าสุดเป็น2.9169%หลังประชุมเฟดเสร็จสิ้น
  #ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปิดวานนี้เป็น94.893จุด แนวโน้มยังแข็งค่า ค่าเงินบาทเช้านี้แข็งเป็น32.66บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
  #ดัชนีความกลัว (VIX)ล่าสุดลด1.2%จากวันก่อนหน้าเป็น11.98จุด
ทองคำบวกกังวลสงครามการค้า
  #สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange)ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น7ดอลลาร์ หรือ0.5%ปิดที่1,308.30ดอลลาร์/ออนซ์
  #สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14มิ.ย.) เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันหลังจากที่ประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
•/-การผลิตภาคอุตสาหกรรมลด แต่ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่ม
  #ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐลดลง0.1%ในเดือนพ.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนของรถบรรทุกในรัฐมิชิแกน
  #ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ99.3ในเดือนมิ.ย. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ98.3หลังจากแตะระดับ98.0ในเดือนพ.ค.

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/-ทั้งADVANCและDTACไม่เข้าร่วมประมูลคลื่น1800 MHzครั้งนี้
  #ราคาหุ้นADVANCปรับขึ้น แต่ราคาหุ้นDTACปรับลงมาก ซึ่งคาดว่ามีผลมาจากเลขา กสทช. ให้ความเห็นว่าอาจจะไม่มีการเยียวยา (Remedy Period)เพราะได้ประกาศเปิดการประมูลมาล่วงหน้าแล้ว ขณะที่DTACมีความจำเป็น เพราะจะหมดอายุสัมปทาน ก.ย.61นี้แล้ว แต่ก็ไม่เข้าร่วมประมูล และถ้าจะหวังว่ามีการร่างเกณฑ์ใหม่แล้วปรับลดราคาเริ่มต้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากก่อนหน้ามาทางADVANCและTRUEก็จ่ายที่ราคานี้ โดยจะนำเข้าที่ประชุมกสทช.27มิ.ย.61และทราบผลภายใน10ก.ค.61และเสนอให้รัฐบาลหาทางออก อย่างไรก็ตามหากให้แก้หลักเกณฑ์เป็น9ใบ ตรงนี้จะทำได้
  #ผลกระทบ: จากการสอบถามDTACถึงกรณีเลวร้าย (worst case)ว่าไม่ได้รับการเยียวยา จะมีทางออกอย่างไร ก็มีแนวโน้มว่าจะไปเช่าคลื่นของADVANCมาใช้แทน เพื่อไม่ให้ลูกค้าที่ใช้บริการด้านเสียงได้รับความเดือดร้อน แต่ขณะเดียวกันก็จะมีส่วนประหยัดได้จากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าคลื่นให้กับCATแต่ในที่สุดแล้วทางDTACก็เชื่อว่าจะยังได้รับการเยียวยา เพราะทางภาครัฐก็ควรจะเห็นกับประโยชน์ของผู้ใช้บริการที่จะไม่ได้รับความเดือดร้อน และมีโอกาสที่จะซอยใบอนุญาตให้เล็กลง แต่ทาง กสทช.ได้รับราคาเฉลี่ยเท่าเดิม
  #คำแนะนำ ระยะสั้นการลงทุนในADVANCจะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะไม่ต้องเสี่ยงเรื่องที่ว่าจะมีการเยียวยาหรือไม่ อีกทั้งยังจะมีโอกาสได้รับรายได้จากค่าเช่าเพิ่มจากDTACขณะเดียวกับคลื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เพียงพอต่อการให้บริการ ไม่ได้รีบเร่งต้องได้คลื่นใหม่ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน232.00บาท
  #ด้านDTACคาดว่าระยะนี้ความน่าสนใจในการลงทุนจะลดลง เพราะมีความเสี่ยงจากการที่จะไม่ได้รับการเยียวยา จากการพิจารณาของ กสทช. ต้องรอเวลากว่าจะทราบผลเป็นภายใน10ก.ค.61แต่ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าในที่สุดแล้ว จะยังมีการเยียวยา เพราะที่ประชุม กสทช.และภาครัฐจะให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้บริการมากกว่า โดยมีการซอยใบอนุญาตให้เล็กลง และทางภาครัฐได้รับราคาเฉลี่ยเท่าเดิม รวมทั้งรีบเร่งให้มีการเปิดประมูลทันในปีนี้ และหากเป็นกรณีเลวร้ายไม่ได้รับการเยียวยา ค่าใช้จ่ายการเช่าคลื่นจากADVANCจะไม่มาก เพราะมีบางส่วนชดเชยจากการไม่ต้องจ่ายค่าเช่าให้CATแม้ว่าจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นบ้างก็ตาม จึงคงคำแนะนำซื้อDTACที่ราคาพื้นฐาน58.30บาท เพื่อการลงทุนระยะยาว
+ SCC:จะขยายกำลังผลิตโครงการมาบตาพุดโอเลฟินส์
  #บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท มาบตาพุด โอเลฟินส์ จำกัด (MOC)ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (เอสซีจี เคมิคอลส์) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่SCCถือหุ้นทั้งหมด และบริษัทในกลุ่มThe Dow Chemical Company (DOW)ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยSCCมีสัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมในMOCร้อยละ67และกลุ่มDOWถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในส่วนที่เหลือทั้งหมดร้อยละ33ได้อนุมัติโครงการขยายกำลังการผลิตของMOCเงินลงทุนประมาณ15,500ล้านบาท
  #โครงการดังกล่าวจะทำให้MOCมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ และสร้างโอกาสในการใช้ก๊าซโพรเพนซึ่งมีต้นทุนต่ำเป็นวัตถุดิบได้ กำลังการผลิตโอเลฟินส์ต่อปีของMOCจะเพิ่มขึ้น350,000ตัน โดย ร้อยละ85-90เป็นเอทิลีน โครงการขยายกำลังการผลิตนี้จะดำเนินการควบคู่ไปกับการดำเนินงานการผลิตตามปกติของMOCและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่2ของปี2564
  #หลังจากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จMOCจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์รวมต่อปี2,050,000ตัน เทียบกับปัจจุบัน1,700,000ตัน (เอทิลีน900,000ตัน และ โพรไพลีน800,000ตัน)
+ BGRIM:ลงสัญญาร่วมมือร่วมทุนโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ที่เวียดนาม
  #เมื่อวันที่15มิ.ย.ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ฯพณฯ เหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด420เมกะวัตต์ (MW)ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD)ในปี2562ระหว่างBGRIMและXUAN CAU COMPANY LIMITEDประเทศเวียดนาม
+/• GLOWโต้ข่าวขายไฟเถื่อน และมีโอกาสที่GPSCจะเข้าซื้อหุ้นใหญ่บางส่วน
  #บริษัทคาดว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าระยะที่2โครงการ1โดยโรงไฟฟ้าของบริษัทยังคงจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามข้อตกลง และแนวทางตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากโครงการนี้เป็น1ใน25โครงการที่มีรายชื่ออยู่ในเอกสารนำเสนอและได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่30พฤษภาคม2559
  #ข้อเท็จจริง คือ กฟผ. และบริษัทมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องวันสิ้นสุดอายุสัญญาซึ้อขายไฟฟ้าของโครงการ ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และหากได้คำชี้ขาดจากอนุญาโตตุลาการเป็นอย่างใด บริษัทพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำชี้ขาดอย่างเคร่งครัด ดังเช่นที่บริษัทถือปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับอย่างเคร่งครัดดลอดมา
  #ส่วนข่าวที่ว่า "จีพีเอสซี" ผู้ผลิตไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ในเครือ ปตท. เตรียมปิดดีลมูลค่า "แสนล้าน" ซื้อหุ้น "โกลว์พลังงาน"69%หรือราวหุ้นละ90-100บาท" บมจ. โกลว์ พลังงาน ขอเรียนชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวมีความเป็นไปได้กลุ่มเอ็นจี อยู่ระหว่างการประเมินกลยุทธ์ทางธุรกิจการตลาดของไทย และยังไม่มีข้อสรุป ทั้งนี้หากมีความชัดเจนมากขึ้น บมจ.โกลว์ พลังงานจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ราคาปิดเป็น92.00บาท ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯDBSพบว่ามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ณ สิ้น1Q61เป็น35.54บาท
+/• NFC:วันศุกร์กลับมาเข้าซื้อขายวันแรก ราคาปิดที่10.30บาท
  # NFCเข้ามาซื้อขายวันแรกในวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจสูงตามคาด ราคาปรับขึ้นไปสูงสุดถึง17.90บาท แต่มีแรงขายทำกำไรจนราคาปิดที่10.30บาท
  #ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯDBSไม่ได้ทำการวิเคราะห์ แต่คาดว่าระยะสั้นราคาหุ้นจะได้รับความนิยมเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่กลับมาซื้อขาย เพราะได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ จนมีแนวโน้มจะกลับมาดีขึ้นกว่าตอนต้องเข้าฟื้นฟูกิจการ แต่ระยะกลาง-ยาวก็ขึ้นกับภาวะแนวโน้มธุรกิจ และการประเมินมูลค่าหุ้น สำหรับราคาเป้าหมายจากที่นสพ.ข่าวหุ้นลงว่าเกิน4บาท ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปสูงกว่ามากแล้ว
• BTS:ยังไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวรถไฟฟ้าสีเขียวใต้อาจล่าช้า และจำนวนผู้โดยสารระยะนี้ลดลง
  #มีข่าวว่ากำหนดการเปิดใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ อาจล่าช้า จากกำหนดการเดิมคือ ธ.ค.61เพราะกทม.และรฟม.ยังเจรจากันไม่ลงตัวว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ จากปัจจุบันที่กทม.รับผิดชอบอยู่ เพราะหากโอนกลับไปให้ รฟม.อาจต้องหยุดการติดตั้งระบบชั่วคราว
  #ผลกระทบ: จากการสอบถามBTSพบว่าปัจจุบันยังดำเนินการตามปกติ ไม่มีการสั่งให้หยุดแต่อย่างใด จึงยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องความล่าช้า
  #จำนวนผู้โดยสารเดือน พ.ค.61เป็น19.3ล้านเที่ยว และยอดสะสม เม.ย.-พ.ค.61 (YTD)เป็น37.2ล้านเที่ยว -0.1%และ -0.9% y-o-yตามลำดับ ดูแล้วเป็นไปในทางลบ เพราะตามเป้าหมายปี61-62 (สิ้นสุดปี มี.ค.62)เพิ่ม4-5%
  #ผลกระทบ: คาดว่าการเริ่มเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ ปลายปี61นี้จะเป็นตัวเสริมให้จำนวนผู้โดยสารที่เข้าสู่ระบบได้เพิ่มมากขึ้น คงคำแนะนำ ซื้อBTSที่ราคาพื้นฐาน11.00บาท
-/• HUMAN:ราคาหุ้นปรับลง เพราะรายใหญ่ทำBig Lotเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
  #บริษัทชี้แจงการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ในวันที่15มิถุนายน2561ตามที่ได้ปรากฎในรายการซื้อขายหุ้นHUMANผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board)จำนวน96,354,600หุ้น ราคาหุ้นละ11.10บาท คิดเป็น14.17%ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
  #รายการดังกล่าวเกิดจากการขายหุ้นโดยHudson Asia Holdings Pte. Ltdนายอโณทัย อดุลพันธุ์ นายภัทร ยงวณิชย์ นายปณัยกรณ์ จาติกวณิช และนายธนชาติ นุ่มนนท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โดยทางผู้ซื้อไม่เข้าเกณฑ์Tender
  #ผลกระทบ: ราคาปิดวันศุกร์เป็น10.70บาท ลดลงถึง7.76%แต่เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน
+/-บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  #หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผลsentimentด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่KCE, HANA, DELTA, SVIกลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEEและหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็นsentimentบวกกับERW, CENTELและMINTด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEXและSISรวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่AAV, THAIและRCLเป็นต้น
+/-ใกล้ประกาศSET50,SET 100คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้นADDหรือขายออกล่วงหน้าสำหรับหุ้นDELETE
  #ประมาณวันที่19มิ.ย.61นี้แล้ว ที่SETจะประกาศ เพื่อมีผลใช้ตั้งแต่1ก.ค.61-31ธ.ค.61
  #สำหรับSET 50สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD)คาดว่ามีBGRIM, DELTA, ESSO, GULF, KTC, RATCH, TOAหุ้นนำออก (DELETE)ได้แก่BCP, CBG, KCE, PSH, TPIPP, WHA
  #สำหรับSET 100สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (ADD)คาดว่ามีBLA, ERW, JAS, MBK, RS, THANI, VGIหุ้นนำออก (DELETE)ได้แก่ANAN, BA, BIG, EPG, GGC, JMART, JWD, MC, MONO, STA, THCOM, TTA, UNIQ
  #การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณในSET50 & SET100พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap)และปริมาณ&สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณในSET50หรือSET100ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง

นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา :[email protected]
OO10171

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!